น่าจะเคยได้ยินกันว่าฤดูหนาวของเกียวโต(Kyoto)นั้น หิมะเป็นเหมือนของหายาก ใครที่มาเที่ยว แล้วได้เห็นหิมะที่นี่ เหมือนถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งเนื่องจากในปีหนึ่ง ๆ จะมีวันที่หิมะตกอยู่เพียงไม่กี่วันเท่านั้น เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าคืนไหนมีหิมะตกปุ๊บ ก็เตรียมตื่นแต่เช้าคว้ากล้องเดินออกจากบ้านกันได้เลย
และวันนี้เราจะมาแนะนำ ศาลเจ้าคิฟุเนะ (貴船神社) และวัดคุรามะ (鞍馬寺) ท่ามกลางหิมะขาวโพลน โดยเริ่มแรก ใช้บริการรถไฟ Eizan (叡山電車) นั่งไปลงที่สถานี Kibune-guchi (貴船口駅) หลังจากนั้นจะเลือกเดินขึ้นเขา หรือนั่งรถบัสไปก็ได้โดยป้ายรถบัสจะอยู่ตรงทางลงจากสถานีเลย ง่าย ๆ ว่าเดินตามคนญี่ปุ่นที่เราดูแล้วว่าเขาก็น่าจะมาเที่ยวเหมือนกัน เพราะเมื่อหิมะตกที่เกียวโต ทุกคนจะมุ่งหน้าสู่สถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ อย่างพร้อมเพรียง
ซึ่งสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือ เช็คพยากรณ์อากาศก่อนออกเดินทางเสมอ และต้องเป็นพยากรณ์อากาศของสองที่นี้เท่านั้นนะ เพราะสองที่นี้อยู่บนภูเขา อากาศจะหนาวกว่าในเมืองอย่างแน่นอน เตรียมอุปกรณ์กันหนาวไปให้พร้อมด้วยล่ะ โดยเฉพาะร่ม ร่มพับก็ได้ ใช่ อ่านไม่ผิดหรอก เพราะตอนที่เราไป ข้างล่างหิมะหยุดตกแล้ว แต่พอรถไฟแล่นเข้าไปใกล้ภูเขา หิมะตกหนักต่างกับในเมืองลิบลับเลย ตอนที่ลงจากรถบัสก็ยังตกตลอดทาง ถ้าไม่ใช้ร่ม ได้ตัวเปียกแน่ ๆ ไม่สนุกเลยนะ ทั้งหนาวทั้งเปียก
ต่อกันดีกว่า เมื่อรถบัสจอดปุ๊บ ทุกคนก็ลงจากรถอย่างพร้อมเพรียง แถวนั้นมีห้องน้ำสาธารณะให้บริการอยู่นะ ก็ไปทำธุระให้เสร็จเรียบร้อย แล้วเดินตามถนนขึ้นเขาต่อ เดินไปเรื่อย ๆ ไม่นาน จะเจอกับโทริอิสีแดง มองไปจะเห็นบันไดที่มีโคมไฟสีแดงตั้งเรียงราย ซึ่งจุดนี้เป็นอีกหนึ่งจุดที่ทุกคนจะหยุดยืนถ่ายรูปกับโทริอิและบันไดโคมไฟนี้ วันที่เราไปก็มีช่างภาพตั้งขาตั้งกล้องกันเก็บภาพสวย ๆ ที่มุมนี้กันหลายคนอยู่
พอไต่บันไดขึ้นไปจนสุด ก็ถึงที่หมายแรกแล้วจ้า ศาลเจ้าคิฟุเนะยินดีต้อนรับค่า อ๋อ ตอนไต่บันไดก็ระวังลื่นด้วยนะ อย่าเห็นว่าหิมะสวยอย่างเดียวล่ะ ลื่นหัวทิ่มกันได้เลยนะคะ จับราวให้ดี ๆ ล่ะ
ผ่านซุ้มประตูทางเข้าศาลเจ้าไป ทางขวามือจะเป็นศาลาสำหรับนั่งพักผ่อน มีฮีทเตอร์แบบตั้งให้นั่งผิงไฟอุ่น ๆ แต่ถ้าเดินตรงไปอีก จะมีเต้นท์ผ้าใบพร้อมกองไฟและเก้าอี้ให้นั่งรอบ ๆ ได้บรรยากาศเหมือนหลุดไปอยู่ในหนังสักเรื่อง ลองไปนั่งผิงไฟดูก็ได้ประสบการณ์ไปอีกแบบนะ แต่ระวังสะเก็ดไฟกระเด็นเข้าตัวล่ะ เสื้อโค้ทได้มีรูแถมแน่ ๆ แล้วก็ระวังทิศทางลม ลมเปลี่ยนทิศทีก็ต้องเปลี่ยนที่นั่งที่ยืน ไม่อย่างนั้นเสื้อได้ไหม้จริง ๆ นะเออ
อ้าว บรรยายมาซะเยอะ ลืมศาลเจ้าไปได้ยังไง ศาลเจ้าอยู่ทางซ้ายมือของซุ้มประตูทางเข้า ตอนที่เราไป เขากำลังปรับปรุงอยู่ เลยได้ดูไม่มาก แถวนั้นเขาจะขายพวกเครื่องรางอะไรต่อมิอะไรแต่เราไม่ค่อยได้สนใจตรงนี้ เลยเดินลงกลับมาที่เต้นท์ผ้าใบ แล้วเดินทะลุซุ้มประตูอีกฟาก เป็นบันไดทางลงเขา ผ่านสะพานข้ามคูน้ำ เป็นบรรยากาศของหุบเขาท่ามกลางหิมะที่สวยงามมาก เดินถ่ายรูปเพลินเลยทีเดียว
เดินถ่ายรูปไปมา มองดูนาฬิกา เห็นว่าได้เวลาทานข้าวกลางวันแล้ว มองไปไม่เห็นอะไร เกือบต้องลงเขาไปกินข้างล่างแล้ว แต่เหลือบไปเห็นร้านอาหารหน้าทางขึ้นศาลเจ้าซะก่อน ตรงที่มีโทริอิสีแดงกับบันไดโคมไฟนั่นแหละ ราคาก็เอาเรื่องอยู่ แต่เพื่อเติมเต็มกระเพาะอันหิวโหยแล้ว เราก็ได้เข้าไปนั่งทานข้าวในห้องอุ่น ๆ อุ่นสบายไม่เหมือนข้างนอกที่หนาวจนมือแทบแข็ง
เมื่อท้องอิ่มแล้วก็เดินทางต่อ เดินกลับไปทางเดิมที่เดินขึ้นมา จะเจอทางขึ้นเขาเล็ก ๆ อยู่ทางซ้ายมือ เดินไปสักพักจะเห็นป้อมที่เหมือนบ้าน มีป้าขายตั๋วอยู่ ที่นี่คือทางขึ้นเขาคุรามะ แต่เป็นทางที่สวนกับคนอื่นเขา เพราะคนอื่นเขาจะขึ้นจากอีกฝั่งของภูเขา แต่เราอินดี้ ไต่เขาทางนี้แหละ
ตอนเดินขึ้นเขา แนะนำให้ระวังเพิ่มอีกเป็นเท่าตัว เพราะไม่ใช่การเดินขึ้นเขาธรรมดา แต่เป็นการเดินขึ้นเขาที่มีหิมะปกคลุมทั้งเขา ทางเดินเป็นหินบ้าง บันไดบ้าง ซึ่งหิมะก็แปลงร่างเป็นน้ำแข็งเกาะอยู่ตามหินเหล่านี้ ถ้าเดินไม่ดี ลื่นแน่นอน ลื่นแล้วล้มไปหาคนข้าง ๆ ไม่เท่าไหร่ แต่ลื่นตกเขานี่คงอันตรายน่าดู ซึ่งบางช่วงที่ชันมากหน่อย ก็มีรั้วกั้นพอให้รู้ สัญญาณโทรศัพท์ก็ติด ๆ ดับ ๆ ก็ระวังตัวกันด้วยนะ ใส่รองเท้าที่มีดอกยางกันลื่นแบบดี ๆ หน่อยล่ะ
พอเดินเรื่อย ๆ ก็เริ่มคิดละว่า นี่เราอยู่เกียวโตจริง ๆ ใช่ไหม อย่างกับว่าหลุดไปอยู่ในป่าหิมะสักที่เลย มีทางเดินผ่านกลางป่า ต้นไม้สองข้างโน้มเข้าหากัน มีแสงแดดส่องลอดตามร่มไม้ราง ๆ เห็นอย่างนั้นก็หยิบกล้องขึ้นมากดชัตเตอร์ทันที เอ๊ะ อีกฝั่งมองไปเห็นยอดเขาข้าง ๆ ด้วย ข้างล่างมองไปก็เห็นต้นสนเรียงราย รับรองว่านี่จะเป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงไปอีกนาน
เดินไปสักหนึ่งชั่วโมง จะเจอกับสิ่งก่อสร้างท่ามกลางหิมะ ลักษณะเหมือนศาลา เรียกว่าอะไรไม่รู้ เพราะหิมะคลุมหมด มองแทบไม่เห็นป้าย แล้วก็ข้างในนั่งพักได้นะ แต่ตอนเราไป ที่นั่งข้างในเปียกทั้งหมด ส่วนม้านั่งข้างนอกก็ถูกหิมะถมจนไม่มีที่ให้นั่ง เลยต้องเดินต่อไป ตอนนี้ฟ้าก็เริ่มเปิดละ หิมะข้างล่างเขาคงเริ่มละลาย แต่ข้างบนนี่ยังหนาอยู่ คงไม่ละลายง่าย ๆ ช่วงหลังจากนี้ก็จะเป็นขาลงแล้ว เริ่มเดินสะดวกขึ้น แต่ก็ยังต้องระวังลื่นอยู่ดี
ลืมเตือนไปอีกหนึ่งอย่าง ตอนที่เดินเขาให้ระวังหิมะที่ตกจากต้นไม้ด้วย เดินไปอยู่ดี ๆ ลมพัด หิมะปลิวว่อน อย่างกับพายุหิมะย่อม ๆ เลย ก็กางร่มกันไป
และแล้วเราก็มาถึงวัดคุรามะ เป้าหมายของเราในการออกเที่ยวครั้งนี้ รวมเวลาตั้งแต่ซื้อตั๋วกับป้า จนไต่เขามาจนถึงที่นี่ ประมาณได้หนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ เหมือนจะเหนื่อยนะ แต่ระหว่างทางก็แวะพักถ่ายรูปบ้าง เลยไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่
หิมะบริเวณนี้หนาพอสมควร แต่เขากวาดเป็นทางเดินไว้ให้ เลยไม่ต้องกังวลว่าจะลื่นล้ม ทีนี้ก็ทางสะดวกแล้ว เดินต่อไปสักพัก จะเห็นป้ายห้องน้ำ ก็เข้าไปทำธุระซะ จะได้เดินต่อได้สบาย ๆ
เดินไปจนถึงช่วงซุ้มประตูทางออกของวัด ทางจะเป็นทางลาด ไม่มีราวจับ ไม่มีขั้นบันได เหมือนกำลังเดินบนสไลเดอร์ ลื่นกว่าอยู่บนเขาอีก ต้องค่อย ๆ ไถตัวลง ไม่ให้จับกบ พอออกจากวัดแล้ว จะเป็นถนนที่บางครั้งจะมีรถแล่นผ่านมา บอกว่าเป็นถนนคือเป็นถนนสำหรับรถแล่นจริง ๆ มาใช้เดินเท้านี่ลื่นอย่าบอกใคร หน้าทิ่มกันได้ง่าย ๆ เลย ถึงตรงนี้แล้ว รองเท้าที่เราใส่มาครั้งนี้ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ลื่นเหมือนกำลังเดินอยู่บนพื้นน้ำแข็ง ถ้าเป็นไปได้ก็ใส่รองเท้าเดินเขาแบบดอกยางเยอะ ๆ มาก็ดีนะ เพราะเห็นคนญี่ปุ่นที่เดินลงอยู่แถวนั้น ก็ค่อย ๆ ไถลงเหมือนกัน แล้วก็ช่วงเวลานี้อากาศจะเริ่มอุ่นขึ้นในระดับที่หิมะเริ่มละลาย ถ้ารองเท้าไม่กันน้ำ หิมะที่ติดกับรองเท้าจะละลายเป็นน้ำซึมเข้าไปทักทายเท้าเรา แล้วเราก็จะได้รู้จักกับคำว่าเท้าเป็นน้ำแข็ง นอกจากจะเปียกแล้ว ยังจะเย็นอีก ร้านค้าแถวนั้นก็ไม่มี ต้องทนต่อไปจนถึงตีนเขา
หรือจะใช้บริการกระเช้าก็ได้ แต่ด้วยความงกไม่เข้าท่า เราเลยเดินลงเขาบนถนนลื่น ๆ นั่น มาคิดได้ทีหลังก็สายไปแล้ว แค่เสียเงินไม่กี่เยน กับการที่เดินลื่นปรื้ด ๆ เกือบหน้าคะมำไปหลายรอบ
ซึ่งตีนเขานั้น ก็คือทางเข้าที่คนปกติเขาเข้ากันนั่นละ เป็นซุ้มประตูขายตั๋ว ดูอลังการกว่าซุ้มของป้าทางฝั่งโน้นอีก มาถึงตรงนี้ ใช้เวลาไปทั้งสิ้นสองชั่วโมงกว่า ๆ และเหมือนพายุขนาดย่อม ๆ กำลังมา หิมะปลิวว่อนเลยจ้า จึงต้องรีบเดินไปที่สถานีรถไฟ สังเกตง่าย ๆ คือมีหน้าเทนงุสีแดงจมูกยาวอยู่ เห็นชัดเจนแน่นอน เพราะตัวใหญ่ตั้งบนฐาน
ขากลับก็ที่นี่แหละ รถไฟ Eizan สถานี Kurama ไปโลดดด
ป.ล. เราไปเที่ยวเมื่อเดือนมกราคม 2562 และทุกรูปถ่ายเองนะจ๊ะ :)
และวันนี้เราจะมาแนะนำ ศาลเจ้าคิฟุเนะ (貴船神社) และวัดคุรามะ (鞍馬寺) ท่ามกลางหิมะขาวโพลน โดยเริ่มแรก ใช้บริการรถไฟ Eizan (叡山電車) นั่งไปลงที่สถานี Kibune-guchi (貴船口駅) หลังจากนั้นจะเลือกเดินขึ้นเขา หรือนั่งรถบัสไปก็ได้โดยป้ายรถบัสจะอยู่ตรงทางลงจากสถานีเลย ง่าย ๆ ว่าเดินตามคนญี่ปุ่นที่เราดูแล้วว่าเขาก็น่าจะมาเที่ยวเหมือนกัน เพราะเมื่อหิมะตกที่เกียวโต ทุกคนจะมุ่งหน้าสู่สถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ อย่างพร้อมเพรียง
ซึ่งสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือ เช็คพยากรณ์อากาศก่อนออกเดินทางเสมอ และต้องเป็นพยากรณ์อากาศของสองที่นี้เท่านั้นนะ เพราะสองที่นี้อยู่บนภูเขา อากาศจะหนาวกว่าในเมืองอย่างแน่นอน เตรียมอุปกรณ์กันหนาวไปให้พร้อมด้วยล่ะ โดยเฉพาะร่ม ร่มพับก็ได้ ใช่ อ่านไม่ผิดหรอก เพราะตอนที่เราไป ข้างล่างหิมะหยุดตกแล้ว แต่พอรถไฟแล่นเข้าไปใกล้ภูเขา หิมะตกหนักต่างกับในเมืองลิบลับเลย ตอนที่ลงจากรถบัสก็ยังตกตลอดทาง ถ้าไม่ใช้ร่ม ได้ตัวเปียกแน่ ๆ ไม่สนุกเลยนะ ทั้งหนาวทั้งเปียก
ต่อกันดีกว่า เมื่อรถบัสจอดปุ๊บ ทุกคนก็ลงจากรถอย่างพร้อมเพรียง แถวนั้นมีห้องน้ำสาธารณะให้บริการอยู่นะ ก็ไปทำธุระให้เสร็จเรียบร้อย แล้วเดินตามถนนขึ้นเขาต่อ เดินไปเรื่อย ๆ ไม่นาน จะเจอกับโทริอิสีแดง มองไปจะเห็นบันไดที่มีโคมไฟสีแดงตั้งเรียงราย ซึ่งจุดนี้เป็นอีกหนึ่งจุดที่ทุกคนจะหยุดยืนถ่ายรูปกับโทริอิและบันไดโคมไฟนี้ วันที่เราไปก็มีช่างภาพตั้งขาตั้งกล้องกันเก็บภาพสวย ๆ ที่มุมนี้กันหลายคนอยู่
พอไต่บันไดขึ้นไปจนสุด ก็ถึงที่หมายแรกแล้วจ้า ศาลเจ้าคิฟุเนะยินดีต้อนรับค่า อ๋อ ตอนไต่บันไดก็ระวังลื่นด้วยนะ อย่าเห็นว่าหิมะสวยอย่างเดียวล่ะ ลื่นหัวทิ่มกันได้เลยนะคะ จับราวให้ดี ๆ ล่ะ
ผ่านซุ้มประตูทางเข้าศาลเจ้าไป ทางขวามือจะเป็นศาลาสำหรับนั่งพักผ่อน มีฮีทเตอร์แบบตั้งให้นั่งผิงไฟอุ่น ๆ แต่ถ้าเดินตรงไปอีก จะมีเต้นท์ผ้าใบพร้อมกองไฟและเก้าอี้ให้นั่งรอบ ๆ ได้บรรยากาศเหมือนหลุดไปอยู่ในหนังสักเรื่อง ลองไปนั่งผิงไฟดูก็ได้ประสบการณ์ไปอีกแบบนะ แต่ระวังสะเก็ดไฟกระเด็นเข้าตัวล่ะ เสื้อโค้ทได้มีรูแถมแน่ ๆ แล้วก็ระวังทิศทางลม ลมเปลี่ยนทิศทีก็ต้องเปลี่ยนที่นั่งที่ยืน ไม่อย่างนั้นเสื้อได้ไหม้จริง ๆ นะเออ
อ้าว บรรยายมาซะเยอะ ลืมศาลเจ้าไปได้ยังไง ศาลเจ้าอยู่ทางซ้ายมือของซุ้มประตูทางเข้า ตอนที่เราไป เขากำลังปรับปรุงอยู่ เลยได้ดูไม่มาก แถวนั้นเขาจะขายพวกเครื่องรางอะไรต่อมิอะไรแต่เราไม่ค่อยได้สนใจตรงนี้ เลยเดินลงกลับมาที่เต้นท์ผ้าใบ แล้วเดินทะลุซุ้มประตูอีกฟาก เป็นบันไดทางลงเขา ผ่านสะพานข้ามคูน้ำ เป็นบรรยากาศของหุบเขาท่ามกลางหิมะที่สวยงามมาก เดินถ่ายรูปเพลินเลยทีเดียว
เดินถ่ายรูปไปมา มองดูนาฬิกา เห็นว่าได้เวลาทานข้าวกลางวันแล้ว มองไปไม่เห็นอะไร เกือบต้องลงเขาไปกินข้างล่างแล้ว แต่เหลือบไปเห็นร้านอาหารหน้าทางขึ้นศาลเจ้าซะก่อน ตรงที่มีโทริอิสีแดงกับบันไดโคมไฟนั่นแหละ ราคาก็เอาเรื่องอยู่ แต่เพื่อเติมเต็มกระเพาะอันหิวโหยแล้ว เราก็ได้เข้าไปนั่งทานข้าวในห้องอุ่น ๆ อุ่นสบายไม่เหมือนข้างนอกที่หนาวจนมือแทบแข็ง
เมื่อท้องอิ่มแล้วก็เดินทางต่อ เดินกลับไปทางเดิมที่เดินขึ้นมา จะเจอทางขึ้นเขาเล็ก ๆ อยู่ทางซ้ายมือ เดินไปสักพักจะเห็นป้อมที่เหมือนบ้าน มีป้าขายตั๋วอยู่ ที่นี่คือทางขึ้นเขาคุรามะ แต่เป็นทางที่สวนกับคนอื่นเขา เพราะคนอื่นเขาจะขึ้นจากอีกฝั่งของภูเขา แต่เราอินดี้ ไต่เขาทางนี้แหละ
ตอนเดินขึ้นเขา แนะนำให้ระวังเพิ่มอีกเป็นเท่าตัว เพราะไม่ใช่การเดินขึ้นเขาธรรมดา แต่เป็นการเดินขึ้นเขาที่มีหิมะปกคลุมทั้งเขา ทางเดินเป็นหินบ้าง บันไดบ้าง ซึ่งหิมะก็แปลงร่างเป็นน้ำแข็งเกาะอยู่ตามหินเหล่านี้ ถ้าเดินไม่ดี ลื่นแน่นอน ลื่นแล้วล้มไปหาคนข้าง ๆ ไม่เท่าไหร่ แต่ลื่นตกเขานี่คงอันตรายน่าดู ซึ่งบางช่วงที่ชันมากหน่อย ก็มีรั้วกั้นพอให้รู้ สัญญาณโทรศัพท์ก็ติด ๆ ดับ ๆ ก็ระวังตัวกันด้วยนะ ใส่รองเท้าที่มีดอกยางกันลื่นแบบดี ๆ หน่อยล่ะ
พอเดินเรื่อย ๆ ก็เริ่มคิดละว่า นี่เราอยู่เกียวโตจริง ๆ ใช่ไหม อย่างกับว่าหลุดไปอยู่ในป่าหิมะสักที่เลย มีทางเดินผ่านกลางป่า ต้นไม้สองข้างโน้มเข้าหากัน มีแสงแดดส่องลอดตามร่มไม้ราง ๆ เห็นอย่างนั้นก็หยิบกล้องขึ้นมากดชัตเตอร์ทันที เอ๊ะ อีกฝั่งมองไปเห็นยอดเขาข้าง ๆ ด้วย ข้างล่างมองไปก็เห็นต้นสนเรียงราย รับรองว่านี่จะเป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงไปอีกนาน
เดินไปสักหนึ่งชั่วโมง จะเจอกับสิ่งก่อสร้างท่ามกลางหิมะ ลักษณะเหมือนศาลา เรียกว่าอะไรไม่รู้ เพราะหิมะคลุมหมด มองแทบไม่เห็นป้าย แล้วก็ข้างในนั่งพักได้นะ แต่ตอนเราไป ที่นั่งข้างในเปียกทั้งหมด ส่วนม้านั่งข้างนอกก็ถูกหิมะถมจนไม่มีที่ให้นั่ง เลยต้องเดินต่อไป ตอนนี้ฟ้าก็เริ่มเปิดละ หิมะข้างล่างเขาคงเริ่มละลาย แต่ข้างบนนี่ยังหนาอยู่ คงไม่ละลายง่าย ๆ ช่วงหลังจากนี้ก็จะเป็นขาลงแล้ว เริ่มเดินสะดวกขึ้น แต่ก็ยังต้องระวังลื่นอยู่ดี
ลืมเตือนไปอีกหนึ่งอย่าง ตอนที่เดินเขาให้ระวังหิมะที่ตกจากต้นไม้ด้วย เดินไปอยู่ดี ๆ ลมพัด หิมะปลิวว่อน อย่างกับพายุหิมะย่อม ๆ เลย ก็กางร่มกันไป
และแล้วเราก็มาถึงวัดคุรามะ เป้าหมายของเราในการออกเที่ยวครั้งนี้ รวมเวลาตั้งแต่ซื้อตั๋วกับป้า จนไต่เขามาจนถึงที่นี่ ประมาณได้หนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ เหมือนจะเหนื่อยนะ แต่ระหว่างทางก็แวะพักถ่ายรูปบ้าง เลยไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่
หิมะบริเวณนี้หนาพอสมควร แต่เขากวาดเป็นทางเดินไว้ให้ เลยไม่ต้องกังวลว่าจะลื่นล้ม ทีนี้ก็ทางสะดวกแล้ว เดินต่อไปสักพัก จะเห็นป้ายห้องน้ำ ก็เข้าไปทำธุระซะ จะได้เดินต่อได้สบาย ๆ
เดินไปจนถึงช่วงซุ้มประตูทางออกของวัด ทางจะเป็นทางลาด ไม่มีราวจับ ไม่มีขั้นบันได เหมือนกำลังเดินบนสไลเดอร์ ลื่นกว่าอยู่บนเขาอีก ต้องค่อย ๆ ไถตัวลง ไม่ให้จับกบ พอออกจากวัดแล้ว จะเป็นถนนที่บางครั้งจะมีรถแล่นผ่านมา บอกว่าเป็นถนนคือเป็นถนนสำหรับรถแล่นจริง ๆ มาใช้เดินเท้านี่ลื่นอย่าบอกใคร หน้าทิ่มกันได้ง่าย ๆ เลย ถึงตรงนี้แล้ว รองเท้าที่เราใส่มาครั้งนี้ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ลื่นเหมือนกำลังเดินอยู่บนพื้นน้ำแข็ง ถ้าเป็นไปได้ก็ใส่รองเท้าเดินเขาแบบดอกยางเยอะ ๆ มาก็ดีนะ เพราะเห็นคนญี่ปุ่นที่เดินลงอยู่แถวนั้น ก็ค่อย ๆ ไถลงเหมือนกัน แล้วก็ช่วงเวลานี้อากาศจะเริ่มอุ่นขึ้นในระดับที่หิมะเริ่มละลาย ถ้ารองเท้าไม่กันน้ำ หิมะที่ติดกับรองเท้าจะละลายเป็นน้ำซึมเข้าไปทักทายเท้าเรา แล้วเราก็จะได้รู้จักกับคำว่าเท้าเป็นน้ำแข็ง นอกจากจะเปียกแล้ว ยังจะเย็นอีก ร้านค้าแถวนั้นก็ไม่มี ต้องทนต่อไปจนถึงตีนเขา
หรือจะใช้บริการกระเช้าก็ได้ แต่ด้วยความงกไม่เข้าท่า เราเลยเดินลงเขาบนถนนลื่น ๆ นั่น มาคิดได้ทีหลังก็สายไปแล้ว แค่เสียเงินไม่กี่เยน กับการที่เดินลื่นปรื้ด ๆ เกือบหน้าคะมำไปหลายรอบ
ซึ่งตีนเขานั้น ก็คือทางเข้าที่คนปกติเขาเข้ากันนั่นละ เป็นซุ้มประตูขายตั๋ว ดูอลังการกว่าซุ้มของป้าทางฝั่งโน้นอีก มาถึงตรงนี้ ใช้เวลาไปทั้งสิ้นสองชั่วโมงกว่า ๆ และเหมือนพายุขนาดย่อม ๆ กำลังมา หิมะปลิวว่อนเลยจ้า จึงต้องรีบเดินไปที่สถานีรถไฟ สังเกตง่าย ๆ คือมีหน้าเทนงุสีแดงจมูกยาวอยู่ เห็นชัดเจนแน่นอน เพราะตัวใหญ่ตั้งบนฐาน
ขากลับก็ที่นี่แหละ รถไฟ Eizan สถานี Kurama ไปโลดดด
ป.ล. เราไปเที่ยวเมื่อเดือนมกราคม 2562 และทุกรูปถ่ายเองนะจ๊ะ :)