ตะลุยคุมาโมโตะกับเมือง Yamaga แหล่งรวมวัฒนธรรมของญี่ปุ่นจากอดีตสู่ปัจจุบัน

สวัสดีค่า วันนี้เราจะพาทุกท่านนะคะไปรู้จักกับจังหวัด คุมาโมโตะ หรือเมืองหมีคุมะมงสีดำที่เป็นขวัญใจคนทั่วโลกในตอนนี้เลยนะคะ สำหรับเมืองคุมาโมโตะเองนั้นเมื่อเดือนเมษายน 2559 ที่ผ่านมาได้ประสบกับภัยธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหว แต่คนญี่ปุ่นเองนั้นก็ไม่อยู่นิ่งเฉย หลังจากเหตุการณ์ผ่านพ้นไปด้วยดี ทั้งรัฐบาลและประชาชนในจังหวัดนี้ก็ได้ช่วยกันฟื้นฟูบ้านเมืองให้กลับมาสวยงามเหมือนเดิมภายในเวลาอันสั้นนิดเดียว เป็นอะไรที่สุดยอดมากๆ เลยค่ะ วันนี้เราจะพาทุกท่านไปสู่จังหวัดคุมาโมโตะ ที่เมืองยามากะกันค่ะ! โดยจะเดินทางจาก Bus Terminal จาก Tenjin Station จังหวัดฟุกุโอกะ ไปยัง Bus Terminal Kumamoto Koutsu Center ค่ะ โดยก่อนอื่นเลยให้ทุกท่านเดินทางไปที่ Bus Terminal ของเทนจินกันก่อนนะคะ ดูจากรูปภาพตามลำดับขั้นตอนได้เลยจ้า


900px-map_of_japan_with_highlight_on_43_kumamoto_prefecture-svg


kumamoto


nishitetsu tenjin bus center


tenjin bus terminal


พอเราขึ้นมาข้างบนแล้วให้เราไปทางประตู 3 ให้เราเดินไปดูที่จอเลยค่ะ ทั้งรอบบัสแล้วก็แถวที่เราจะต้องต่อแถวขึ้นรถบัสกันนะคะ สำหรับครั้งนี้เราจะใช้บัตร Sun Q Pass กันนะคะ ซึ่งเป็นบัตรบัสราคา 8,000 เยน เหมา 3 วันสามารถเดินทางไปได้ทั่วเกาะคิวชู (เหนือ) ได้ตลอดทุกการเดินทางเลยค่ะ (แต่ยกเว้นรถไฟ) โดยบัตร Sun Q Pass สามารถขึ้นรถบัสเวลาไหนก็ได้ค่ะ สามารถซื้อได้ที่เคาน์เตอร์ของ Bus Center ได้เลย และยังมีการจำหน่ายบัตรที่ตู้อัตโนมัติด้วย มีภาษาอังกฤษเขียนไว้อย่างชัดเจน ไม่ต้องกังวลเรื่องซื้อเลย โอเคค่า เราลุยกันเลยยยยยย


*หมายเหตุ สำหรับการมาเที่ยวคุมาโมโตะ เราสามารถซื้อตั๋ว Sun Q Pass ที่นี่ได้เลย แต่ถ้าเป็นบางที่อย่างเช่นเบ็ปปุหรือยุฟุอิน เราจะต้องทำการจองบัตร Sun Q Pass ก่อน ซึ่งสามารถจองได้ที่ http://www.sunqpass.jp/english/route/index2.html โดยภายในเว็บไซต์จะมีบอกว่าสถานที่ไหนต้องทำการจองล่วงหน้าบ้าง)


tenjin bus terminal 2


nishitetsu time table


เราจะต่อแถวประตู 3B กันนะคะ จากรูปในจอ เวลาที่รถบัสจะมาถึงสถานีก็คือ 8:10 ค่ะ เวลารถตอนไปสามารถเช็คได้จากตารางที่สถานีรถบัสนะคะ


nishitetsu kumamoto


พอรถมาแล้วให้เราขึ้นรถบัสไปเลยค่ะ ถ้าเราไม่ได้จองเวลาไว้ให้โชว์บัตร Sun Q Pass ไว้ให้เขาได้เลย จะใช้เวลาการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงโดยประมาณ พอเราเดินมาถึง ให้เราต่อรถบัสอีกประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาทีโดยประมาณจาก Kumamoto Kotsu Center ไปยัง Yamaga Bus Center โดยสามารถใช้บัตร Sun Q Pass ได้เช่นกัน


kumamoto bus


เมื่อเรามาถึงเมือง ยามากะ จังหวัดคุมาโมโตะแล้วสิ่งที่เราไม่ควรพลาดเลยก็คือความเป็นเอกลักษณ์ของเมืองนี้ นั่นก็คือความงดงามของเทศกาล ยามากะ โทโร่ว มัตสึริ หรือเรียกอีกอย่างว่า เทศกาลโคมไฟยามากะ ค่ะ เป็นเทศกาลที่เก่าแก่และดั่งเดิมมากๆ ของเมืองยามากะแห่งนี้ โดยเทศกาลนี้จะรวบรวมเด็กผู้หญิงในเมืองยามากะแห่งนี้เป็นจำนวน 1,000 คนโดยประมาณ ออกมารำบงโอโดริและใส่หมวกโคมไฟ  ในจำนวน 1,000 คนนั้นจะมีทั้งเด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ โดยปกติแล้วเด็กๆ จากโรงเรียนในเขตเมืองยามากะ และ ผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้จะเข้าร่วมเทศกาลกันค่ะ ในทุกๆ ปีจะจัดเฉพาะหน้าร้อนเท่านั้น (เดือนสิงหาคม 15-16 ของทุกๆปี)


yamaga


หมวกโคมไฟที่ทุกคนได้เห็นในรูปนั้นดูเหมือนทำมาจากโลหะ, เงิน แต่แท้จริงแล้วทำมาจากกระดาษทั้งหมดเลย น้ำหนักถือว่าเบามากๆ เลยค่ะ เราได้มีโอกาสไปลองสวมเหมือนกันนะคะ โดยน้ำหนักของมันอยู่ที่ 180 กรัมเท่านั้น แต่เมื่อสวมบนศรีษะเป็นเวลานานๆ ก็แอบเมื่อยนิดๆ เหมือนกันนะคะ ฮาๆ


kumamoto


ผู้เข้าร่วมเต้นรำทางสมาชิกสมาคมอนุรักษ์ยามากะโทโรโอะโดะริ ราว 30 คน ประชาชนเมืองยามากะ(ม. ต้นขึ้นไป) ราว 770 คน และประชาชนนอกเขตซึ่งทางเมืองยามากะประกาศ ลงทะเบียนและผ่านกานฝึกอบรมมีจำนวนประมาณ 200คน ค่ะสำหรับก่อนถึงงานเทศกาลในวันจริงนะคะ


kumamoto 2


dscf8652


Yamaga lenterns Folk crafts museum


แต่ก็อื่นเดี๋ยวเราจะพาไปพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อว่า Yamaga lenterns Folk crafts museum หรือ พิพิธภัณฑ์หัตถกรรมโคมไฟแห่งยามากะ เกี่ยวกับการทำหมวกโคมไฟ หรือที่เรียกกันว่า Yamaga Lantern ไม่ใช่แค่หมวกเท่านั้นนะคะที่สร้างมาจากกระดาษ โมเดลต่างๆ ที่เป็นปราสาทในจังหวัดต่างๆ รวมไปถึงผลงานหลายๆ อย่างที่ทุกคนเห็นในรูปภาพล้วนแล้วประดิษฐ์มาจากกระดาษทั้งนั้นเลยค่ะ สวยใช่มั้ยคะ


Yamaga lenterns Folk crafts museum 2


Yamaga lenterns Folk crafts museum 3


Yamaga lenterns Folk crafts museum 4


Yamaga lenterns Folk crafts museum 5


Yamaga lenterns 1


Yamaga lenterns 2


ในส่วนของห้องนี้จะเป็นห้องสำหรับที่อาจารย์เจ้าของผลงานการทำหมวกกระดาษและโมเดลจากกระดาษต่างๆ ได้ทำงานกันค่ะ แถมตรงนี้มีมุมให้ทุกคนได้ถ่ายรูปฟรีด้วยล่ะ มียูกาตะเล็กๆให้ใส่แล้วก็สวมหมวก เอ๊ะ แต่เดี๋ยวก่อนนะคะ อันนี้สำหรับผู้หญิงเท่านั้นนะคะ คุณผู้ชายสงสัยจะต้องเป็นตากล้องให้แล้วล่ะค่ะ (อิอิ)


entrance fee


สำหรับค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์เพียงอย่างเดียวนะคะ ตามในรูปนี้เลยราคาสำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่ 210 เยน แต่ถ้ามาเป็นกลุ่มเกิน 15 คนจะเหลือเพียงท่านละ 168 เยน สำหรับราคาเด็กประถมถึงมัธยมต้น ราคา 100 เยน หากมาเกิน 15 คนเหลือ 84 เยนค่ะ


gourmet club


ไปต่อกันนะคะ ตอนนี้เราจะพาไปแวะทานอาหารกันก่อนเนอะ ก่อนที่เราจะแวะไปร้านสำหรับเช่ายูกาตะถ่ายรูป และปั้นตุ๊กตาเล็กๆ กันนะคะ พอเราเดินตรงขึ้นไปเรื่อยๆเนี่ย เราก็จะเจอร้านอาหารตามในรูปเลยค่ะ ชื่อว่า Restaurant Gourmet Club (ถ้าดูจากแผนที่ Yamaga Buzen-kaido Map คือเบอร์ 44 ค่ะ) ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องข้าวผัดห่อไข่มากๆ เลยล่ะค่ะ ราคาเพียง 750เยน แต่อิ่มท้องมากๆ ต้องไปโดนกันนะคะ เรามีภาพอาหารมาให้ชมกันด้วย บอกเลยว่าอร่อยอิ่มท้องเกือบถึงตอนเย็นเลยล่ะ


menu


omrice


yukata rental 1


yukata rental 2


kumamon doll


ต่อจากรับประทานอาหารกลางวันแล้ว เราก็จะพาทุกคนไปที่เช่ายูกาตะพร้อมกับได้ใส่หมวก Yamaga Lantern กันนะคะ ที่นี่ไม่ใช่แค่ให้เช่ายูกาตะเพียงอย่างเดียวนะคะ สามารถมาเรียนรู้การปั้นตุ๊กตาตัวเล็กๆ ได้ด้วยค่า เรื่องรายละเอียดราคาต่างๆ อยู่ภายในร้านเลยค่ะ หรือจะซื้อไปเป็นของฝากก็ได้นะคะ น่ารักทั้งนั้นเลย


yukata rental 3


yukata rental 4


โอเคเอาล่ะ ตอนนี้เราขอตัวไปเปลื่ยนชุดก่อนนะคะ ที่นี่สำหรับคุณผู้หญิงทุกท่านแล้วจะได้ใส่ชุดเหมือนกับงานเทศกาล Yamaga Lantern Festival ได้เลยล่ะค่ะ ราคาเช่าอุปกรณ์ทั้งหมดรวมถึงชุดอยู่ที่ 1500 เยน


yukata rental 5


แท่นแท๊นนนนนน! อายจังเลย (ฮาๆๆ) นี่คือตัวอย่างชุดและหมวกโคมไฟค่า สำหรับหมวกใบนี้ก็ทำมาจากกระดาษเช่นกันค่ะมีน้ำหนักประมาณ 180 กรัมไม่หนักไม่เบา แต่ถ้าสวมนานๆ ก็มึนหัวได้เหมือนกัน พอเราเปลื่ยนชุดเสร็จแล้วเราไปดูโรงละครที่มีชื่อเสียงและเก่าแก่ที่สุดของในเมืองนี้กันเลยนะคะ โรงละครแห่งนี้ในสมัยก่อนจะมีการแสดงคาบูกิมากมายและแน่นอนว่ามีการแสดงรำอีกด้วย แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปนับหลายปีการแสดงที่นี่ก็ค่อยๆ ลดลงขึ้นเรื่อยๆ แต่ทุกๆ ครั้งที่มีการแสดงใหญ่ที่โรงละคร ยาจิโยซะ ก็จะจัดการแสดงครั้งใหญ่ขึ้นทุกครั้งอีกด้วย และแน่นอนว่าผู้ที่มีชื่อเสียงด้านการแสดงคาบูกิต่างๆ ก็มาร่วมด้วยเช่นกัน


yajiyosa1


yajiyosa2


yajiyosa3


yajiyosa4


พูดถึงโรงละครยาจิโยซะแล้วล่ะก็ ก็สร้างมาตั้งแต่ในปี 1910 ได้มีการถ่ายทอดวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่นในสมัยก่อนจนมาถึงปัจจุบัน ด้านในของโรงละครที่เห็นอยู่บนเพดานนั้น นั่นคือการโฆษณาต่างๆ ในสมัยก่อนของประเทศญี่ปุ่นค่ะ ก่อนที่จะมี TV หรือ สื่อต่างๆ คนญี่ปุ่นจะวาดรูปและทำป้ายในการโฆษณาละคร โฆษณาการแสดงต่างๆ นาๆ ค่ะ


yajiyosa5


yajiyosa 6


โรงละครสามารถจุคนได้ถึง 1,274 คน โดยชั้น 1 สามารถนั่งได้ 830 คน ชั้น 2 อีก 444 คน ที่นั่งเป็นแบบพื้นไม้และทาทามิ (เสื่อญี่ปุ่น) และที่น่าสนใจและความภาคภูมิใจของเบื้องหลังโรงละครแห่งนี้ก็คือระบบของเวทีนั่นเอง มันคืออะไรงั้นเหรอ? งั้นเราไปดูภาพกันเลย!


yajiyosa stage 1


yajiyosa stage 2


รูปภาพอาจะมึดไปหน่อย แต่ว่าจะเล่าให้ฟังคร่าวๆ นะคะ สำหรับโรงละครแห่งนี้บนเวทีจะมีวงกลมตรงกลางใหญ่ๆ ซึ่งสามารถหมุนได้ค่ะ ในสมัยนี้ระบบของเวทีอาจจะใช้ไฟฟ้ากันใช่มั้ยล่ะคะ ในการเคลื่อนไหวแต่ว่าโรงละครแห่งนี้ใช้แรงคนหมุนเลยค่ะ ใช้จำนวนผู้ชายประมาณ 4 คนถ้าเป็นผู้หญิงอาจจะต้องใช้ 7-8 คนเชียวล่ะ ซึ่งเบื้องหลังของการแสดงอันงดงามคือกำลังกายและกำลังใจจากคนที่ต้องสร้างฉากให้ดูสวยงามจริงๆ สุดยอดเลยใช่มั้ยล่ะคะ!


yamaga lantern yukata


และในครั้งนี้เอง ก็มีการแสดงโชว์ฟรีจากทางโรงละครด้วยค่ะ เป็นการแสดงรำนั่นเอง! อยากบอกว่าสวยงามมากจริงๆ ค่ะ เราไปชมภาพกันเลยยยย


lantern show 1


lantern show 2


และนี่ก็คือบรรยากาศทั้งหมดของโรวละครยาจิโยซะแห่งนี้นะคะ บัตรราคาการเข้าชมการแสดงสำหรับราคาอยู่ที่ 520 เยนค่ะ เอาล่ะค่ะถึงเวลาต้องไปคืนชุดกันซะแล้วแวะกลับไปที่ร้านเดิมกันนะคะ อยากจะบอกความรู้สึกให้ทุกคนได้รับรู้มากๆ เลยค่ะว่า สนุกมากๆที่ได้ใส่ยูกาตะอีกครั้งแต่เป็นครั้งแรกที่ได้สวมหมวกกระดาษนี้เหมือนกันค่ะ อาจจะดูลำบาก แต่ทำให้เราได้เข้าใจถึงผู้หญิงในเมืองยามากะแห่งนี้ในช่วงเทศกาลมากๆ เลยค่ะที่พวกเขาจะต้องใส่หมวกนี้แล้วสร้างเทศกาลดีๆให้เราได้ชมกัน


หลังจากที่เราได้ชมพิพิธภัณฑ์และโรงละครกันแล้วเราจะพาทุกคนไปสู่ออนเซ็นที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยก่อนในจังหวัดคุมาโมโตะกันนะคะ ออนเซ็นที่ว่านี้อยู่ในบริเวณเดียวกันค่ะ


ออนเซ็นแห่งนี้มีชื่อว่า Sakura-yu หรือภาษาไทยก็คือ บ่อน้ำร้อนซากุระ นั่นเองค่ะ ซึ่งมันคือออนเซ็นนี่เอง! ที่นี่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากๆ แต่แต่สมัยเมจิ (ช่วงศตวรรษที่ 19) และในปี 2012 ที่ผ่านมาก็ได้มีการปรับปรุงตกแต่งภายนอกและภายในใหม่ทั้งหมด เพื่อคงสภาพตึกให้อยู่ทนต่อ เรามีภาพบางส่วนมาให้ชมกันนะคะ เนื่องจากว่าด้านในทางสถานที่ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปได้เลยนำภาพภายนอกมาฝากกันนะคะ


sakurayu 1


sakurayu 2


อันนี้คือหน้าตึกบ่อน้ำร้อนซากุระนะคะ สภาพข้างนอกคือตั้งแต่สมัยเมจิเลยค่ะ ภายในก็ยังคงสภาพเดิมอยู่เช่นเคยเพียงแต่ว่าทำความสะอาดและทำให้ด้านในยังสวยงามอยู่เหมือนเดิมค่า ที่นี่ยังเปิดให้ใช้บริการอยู่นะคะ แต่จะเปิดเฉพาะวันหยุดอย่างวันอาทิตย์เท่านั้น ทุกคนจะสามารถมาใช้บริการอาบน้ำ แช่น้ำร้อนกันในบรรยากาศสมัยก่อนกันเลยทีเดียว สมัยก่อนวิธีการเก็บเงินค่าบริการออนเซ็นหรือว่าอาบน้ำ พนักงานจะคอยนั่งอยู่บนเบาะเพื่อเก็บเงินก่อนให้ทุกคนเข้าไปอาบน้ำกัน แต่ในสมัยนี้ แค่เราเดินไปกดตู้กดบัตร แล้วยื่นให้พนักงานเค้าท์เตอร์เราก็สามารถเข้าไปอาบน้ำอย่างสบายๆกันได้แล้วล่ะ


sakurayu ticket machine


sakurayu ticket machine 2


อันนี้เป็นรูปตัวอย่างตู้กันบัตรนะคะ เนื่องจาก! คนไทยเองก็มาเที่ยวที่นี่เป็นจำนวนมาก และไม่พลาดที่จะมาอาบน้ำแช่น้ำกันที่นี่ ทางสถานที่เองก็ได้อำนวยความสะดวกกับพวกเราทุกคน ก็ได้มีภาษาไทยแปะไว้เช่นกันค่า สะดวกใช่มั้ยล่ะ
เอาล่ะทุกคนคะ ไปแช่น้ำกันเลยยยยย เย้!! (จะมาวันอื่นก็ได้นะคะ ฮาๆ)


หลังจากที่เราได้พามาเยื่ยมชมกันตรงนี้แล้วต่อจากนี้เราก็จะพาทุกท่านไปชมเมืองยามากะ เล็กๆ น้อยๆ กันนะคะ เราสามารถนั่งรถบัสได้จากฝั่งตรงกันข้ามของ Sakura-yu ได้เลยค่า อันนี้เป็นภาพเล็กๆ น้อยๆ เอามาฝากกันนะคะ


uronkoron 1


uronkoron 2


สำหรับในส่วนของร้านนี้นะคะ เราจะเห็นขวดน้ำสีต่างๆ ตั้งเรียงกันไว้อยู่ นี่คือไวน์รสชนิดต่างๆ ที่ทางร้านสกัดออกมาเองค่า แถวย่านนี้เรียกว่า อุรงโกะรง (うろんころん高瀬) เป็นย่านเล็กๆในตัวเมืองแถวนี้เลยค่ะ พอเดินไปเรื่อยๆ จะเจอเป็นร้านสำหรับคนที่ชอบดื่มไวน์ต้องไม่พลาดเลยล่ะค่ะ มีทั้งหลากหลายสี และหลากหลายรสชาติด้วยกัน แต่สำหรับเราเอง เราเป็นไม่ค่อยชอบดื่มเท่าไหร่ พอกินเข้าไปครั้งแรกถือว่ารสชาติหวานเลยทีเดียว (แต่เราดื่มแล้วแสบคอเล็กน้อย) แต่ขาดื่มต้องไม่พลาดนะคะ! ราคาไม่แพงแถมเก็บได้นานอีกด้วยล่ะ! สามารถซื้อกลับไปเป็นของฝากได้ค่า ~ ที่นี่ค่อนข้างมีชื่อเสียงและได้ออกทีวี , หนังสือพิมพ์มาหลายครั้ง แถมทางด้านตัวอาคารยังคงโครงสร้างบ้านในสมัยเอโดะด้วยเช่นกัน


uronkoron 3


พอเดินถัดมา จะมีร้านขายชาชนิดต่างๆ ตั้งอยู่ บอกเลยว่าขาดื่มชาก็ไม่ควรพลาดเช่นกันนะคะ ไม่ว่าจะชาธรรมดาหรือชาเขียวที่นี่มีให้คุณลองดื่มลองชิมกันด้วย เราจะได้เห็นด้านในของใบชาจริงๆ เลยล่ะ แถมมีตั้งหลากหลายชนิด ชาของที่นี่ดื่มแล้วสดชื่นเลย ขนาดเราเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยดื่มชา แต่พอมาดื่มแล้วถึงกับต้องซื้อติดมือกลับบ้านเลยยย ~ ราคาก็ไม่สูงมากด้วยค่ะ เจ้าของร้านใจดีมากๆ พร้อมต้อนรับชาวต่างชาติอย่างพวกเรามากๆ เลย ลองไปกันดูนะคะ >_____<!


โอเค หลังจากที่เราก็ไปเดินเล่นกันแล้วทุกคนคงจะเหนื่อยกันมากๆ เลยใช่มั้ยเอ่ยยยย วันนี้เราจะพาทุกคนไปพบกับโรงแรมที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้ และเป็นโรงแรมเรียวกังที่มีบ่อแช่น้ำที่ขึ้นชื่ออีกเช่นกัน แถมมีบ่อกลางแจ้งสำหรับผู้หญิงได้ค่า (ผู้ชายมองไม่เห็นแน่นอน!) โรงแรมนี้มีชื่อว่า さつき別荘 หรือว่า Satsuki Bessou นี่เอง สามารถเรียกแท็กซี่จากไหนก็ได้เพื่อไปส่งถึงโรงแรมเลยจ้า โรงแรมนี้ มาชมโรงแรมกันเลยยยยยยยยยย


Satsuki Bessou 1


Satsuki Bessou 2


Satsuki Bessou kumamon


พอเข้ามาถึงประ ตูคุมะมงก็มายืนรอต้นรับพวกเราเลยล่ะ น่ารักจริงๆ >.< พอเราเช็คอินเรียบร้อยแล้วพนักงานก็จะพาเราขึ้นไปห้องพักค่ะ โรงแรมนี้มีทั้งห้องพักแบบเรียวกัง และมีบ้านพักเรียวกังส่วนตัวแยกเป็นแบบไพรเวทอีกด้วยล่ะค่ะ แต่ว่าราคาก็จะต่างกันนะคะ แต่วันนี้เราจะพาไปดูห้องเรียวกังแบบธรรมดากันนะคะ รับรองฟินแน่นอนค่ะ ในสัมผัสบรรยากาศญี่ปุ่นแน่นอน


Satsuki Bessou room


Satsuki Bessou room 2


Satsuki Bessou room 3


พอเข้ามาในห้องจะ 3 ห้องเลยล่ะค่ะสามารถเปิดปิดประตูกั้นได้ แล้วก็มีห้องอาบน้ำ ห้องน้ำแยกกันถือว่าใหญ่มากเลยล่ะค่ะ นอนได้หลายคนเลย


dscf8777


Satsuki Bessou onsen


ตอนนี้นะคะจะพาทุกท่านไปบ่อน้ำร้อนกันนะค้า หรือว่าแช่ออนเซ็นนั่นเอง ออนเซ็นของโรงแรมจะอยู่ชั้นล่างสุดของโรงแรม ซึ่งเดินลงบันไดอันนี้ตามลงไปเลยนะคะ แล้วก็เดินตรงไปเลยล่ะค่ะ ถ้ามีคำว่า 男 นั่นคือห้องน้ำผู้ชาย ส่วนผู้หญิงคือ 女  ต่อจากนี้คงจะถ่ายข้างในไม่ได้แล้วนะคะ แฮะๆ


Satsuki Bessou onsen 2


เมื่อไหร่อาบน้ำผ่อนคลาย เก็บของกันนิดๆ หน่อยกันแล้วก็ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วล่ะค่ะ! โรงแรมเรียวกัง พนักงานจะถามว่าอยากจะรับประทานอาหารกี่โมงเพราะว่าทางโรงแรมจะเตรียมจัดอาหารไว้ให้เวลาที่เราเลือกไว้ค่า ในช่วงตอนเย็นๆค่ำๆ จะเป็นอาหารทะเล,ชาบู กันค่ะ เราไม่สามารถเลือกอาหารอะไรได้มากเท่าไหร่ แต่สามารถบอกเค้าได้ว่าจะรับเนื้อ หรือไม่รับได้เช่นกันค่ะ


Satsuki Bessou dinner


Satsuki Bessou dinner 2


นี่คือหน้าตาของอาหารเย็นวันนี้นะคะ น่าทานใช่มั้ยล่ะ จะบอกว่าเราทานเนื้อไม่ได้เลยทานปลาต้มและอื่นๆ อีกมากมายที่ทางโรงแรมได้เตรียมไว้ให้นะคะ แต่รสชาติบอกได้เลยว่ากลมกล่อมจริงๆ แถมมีของหวานเสิร์ฟให้ตอนที่รับประทานอาหารเสร็จด้วย อร่อยมากๆเลย


ก่อนที่เราจะไปเข้านอนกัน อันนี้เป็น Website ของทางโรงแรม Satsuki Bessou นะคะ


http://www.satsukibessou.com/stayplan/index.html (เป็นภาษาญี่ปุ่น)


รายละเอียดต่างๆการจองสามารถเข้าไปดูได้ที่ https://goo.gl/QS2TrN นะคะ รายละเอียดมีบอกชัดเจนแน่นอนค่าเป็นภาษาไทยจากทางเว็บ booking.com นะคะ วันนี้ขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะคะ แล้วพบกับการเดินทางในวันถัดไปนะค้าาาาา สำหรับวันนี้ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ในวันรุ่งขึ้นเราจะพาท่านไปเที่ยวจังหวัดนางาซากิกันต่อเลย ติดตามการท่องเที่ยวในนางาซากิได้ที่ http://www.jgbthai.com/nagasaki-1/