สวัสดีค่า เรากลับมาพบกันอีกครั้งกับการท่องเที่ยวในจังหวัด นางาซากิ นะคะ วันนี้เราก็จะพาทุกคนมาท่องเที่ยวกันต่อเลย (ชมพาร์ทแรกได้ที่นี่ ) ในตัวเมืองของจังหวัดนางาซากิกัน จริงๆ แล้วเราเคยมาแลกเปลื่ยนที่จังหวัดนางาซากิในสมัยมัธยมปลายด้วยล่ะค่ะ อยากจะบอกว่าสิ่งสวยงาม และทิวทัศน์จากบนภูเขาที่สวยงามในจังหวัดนี้ ดีมากๆ เลย เอาล่ะค่ะ ก่อนอื่นเลยต้องบอกก่อนว่าการเดินทางหลักๆ ในจังหวัดนางาซากิไม่ใช่มีเพียงแค่รถบัสเท่านั้นนะคะ แต่ที่นี่ยังมีอีกหนึ่งวิธีการเดินทางอันแสนสะดวก ซึ่งได้แก่ ‘รถราง’ ให้เราได้ใช้บริการกันด้วย เราเลยจะมาแนะนำกันก่อนจ้า
สำหรับวันที่ 2 นี้ เราจะเริ่มเดินทางจาก สถานีรถไฟนางาซากิ - สวนเฮย์วะ - ร้านอาหารชิไคโด สาขาโอระเดนชูโตมาเอะ ปิดท้ายด้วยร้านเค้คัสเตลลาบุงเมย์โดอันเลื่องชื่อค่า
ก่อนที่เราจะเริ่มออกเดินทางกัน เราจะมาซื้อบัตร One day pass สำหรับรถรางในสถานีรถไฟ Nagasaki Station กันนะคะ ที่นี่มีร้านขายของฝากขนมต่างๆ รวมไปถึงห้าง Amu Plaza ที่อยู่ภายในสถานีรถไฟ Nagasaki Station ด้วยค่ะ
สำหรับเค้าท์เตอร์จำหน่ายตั๋ว One day pass รถราง จะอยู่ชั้นที่ 1 ติดกับทางเข้ารถไฟของสถานีนะคะ ตามรูปคือด้านซ้ายมือ เข้าไปที่ห้อง Waiting Room นะคะ พอเข้ามาเราจะเจอป้ายตั้งอยู่บนโต๊ะเลย ตรง Tourist Information เราสามารถชี้บอกเขาได้เลยค่ะว่าเราจะซื้อกี่ใบ สำหรับ One day pass รถราง จะมีราคาอยู่ที่ใบละ 500เยนค่ะ
แท่นแท๊นนนน ได้มาแล้วค่ะสำหรับตั๋ว One day pass แบบนี้เราก็สามารถเดินทางได้สบายๆ โดยที่ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มแล้ว อยากบอกว่า 500 เยนคุ้มมากจริงๆ ถ้าเทียบกับต้องจ่ายหลายๆ หลายรอบเวลาขึ้นรถรางนะคะ โอเคเลย เดี๋ยวเราจะไปที่สถานีรถรางกันนะคะ แต่ก่อนอื่นเราอยากจะแนะนำตรงนี้สักนิดนึงนะคะ สำหรับทุกๆ ท่านที่อยากจะสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ ในจังหวักนางาซากิ ที่นี่ยินดีให้คำปรึกษาในภาษาญี่ปุ่น และ ภาษาอังกฤษค่า สามารถสอบถามได้เลยไม่ต้องเกรงใจ
โอเคค่า มาต่อกันเลย การที่เราจะไปขึ้นสถานีรถราง ให้เราขึ้นบันไดเลื่อนในตัวสถานี (หรือตรงห้าง) ขึ้นไปชั้น 2 หรือจะออกไปขึ้นบันไดข้างนอกก็ได้เหมือนกันค่า ให้เราขึ้นไปชั้น 2 แล้วก็เดินตรงไปนะคะ ไปทางเชื่อมสะพานใหญ่ แล้วลงบันไดกลางเพื่อลงไปสถานีค่ะ โดยเราจะต้องลงบันไดหมายถึง 1,3 (ที่เขียนว่า For Akasako) อย่าเดินลงไปอีกฝั่งน้า พอเราเดินลงไปที่สถานี ให้เรารอรถรางเบอร์ 1 หรือรถสายสีฟ้านะคะ เพราะเราจะขึ้นคันนี้กัน
อ้อ แล้วก็อย่าลืมนะคะ เตรียมตั๋ว One day pass ไว้ให้พร้อมเพราะว่าตอนลงเราจะต้องโชว์ตั๋วนี้ให้คนขับดู ไม่งั้นเดี๋ยวเสียตังฟรีอีกแย่เลย สถานีที่เราจะลงกันคือ Matsuyama Machi ค่ะ (松山町) ก่อนลงป้ายนี้อย่าลืมกดกริ่งสีม่วงนะคะ >____<!
โอเคค่ะ เราก็เดินทางกันมาถึง Matsuyama Machi แล้ว ว่าแต่ที่นี่มีอะไรหว่า ถึงได้พามา? ที่นี่มีสถานที่ๆ ถ้าพูดแล้วทุกคนน่าจะร้องอ๋อกันทันทีเลย นั่นก็คือ Nagasaki Peace Park หรือ สวนสันติภาพนางาซากิ นั่นเอง ทุกคนที่รู้เรื่องประวัติศาสตร์น่าจะทราบกันดีว่าวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1945 ที่จังหวัดนางาซากิ ได้มีเหตุการณ์ทิ้งระเบิดปรมาณูเกิดขึ้นในช่วงของสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้คนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ที่แห่งนี้เลยถูกสร้างไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้รำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นค่ะ ให้เราเดินตามในรูปเลยนะคะ ข้ามถนนแล้วจะเห็นจากมุมไกล จะมีบันไดเลื่อนในร่มอยู่ค่ะ ให้เราไปตรงนั้นกันเลย (เดินตรงแล้วข้ามถนนทางด้านขวาตามรูปเลยนะคะ)
พอเราเดินขึ้นบันไดเลื่อนมาแล้ว ตอนนี้เราจะพามาดูบรรยากาศรอบๆ กันนะคะ ที่นี่ดอกไม้ตรงกลางทางเดินก็สวยมากๆเลยค่ะ ใครที่อยากชมดอกไม้ก็สามารถเดินขึ้นบันไดได้เลยนะคะ ถ้าไม่กลัวเหนื่อย ออกกำลังกายไปด้วยในตัว ลุยยยยยยยย (แต่เราเดินไม่ไหวขออนุญาตขึ้นบันไดเลื่อนนะคะ ฮาๆๆ)
พอขึ้นมาปุ๊บ! ก็เจอน้ำพุเลยค่ะ ถึงแม้ยังไม่ถึงจุดที่เราจะมากัน แต่ถ้าใครอยากแวะถ่ายรูปก็สามารถถ่ายได้เลย เสร็จแล้วเราจะเดินตรงเข้าไปเพื่อไปชมอนุสรณ์หรือเทพีเสรีภาพกันนะคะ พอเดินตรงมาเรื่อยๆ ก็จะเจอแล้วล่ะค่า ในแต่ละปีที่นี่จะมีคนเอาดอกไม้มาวางกันเพื่อระลึกถึงผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา แต่ทุกคนสามารถถ่ายรูปคู่กับเทพีได้นะคะไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ให้ถ่ายนะคะ เพราะส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ก็เพื่อมาชมเทพีนี้ล่ะค่ะ
หลังจากที่เราได้ชมสถานที่เกี่ยวกับเทพีเสรีภาพในตัวเมืองของนางาซากิกันแล้ว ตอนนี้เราจะพาทุกท่านเดินไปอีกฝั่ง เพื่อไปสถานที่อีกที่นึงที่เป็นอนุสรณ์ของเหตุการณ์นี้กันค่ะ ให้เราเดินลงมาจากที่ๆ เราเคยเดินขึ้นมานะคะ แล้วให้เดินไปทางซ้ายเราจะพบสวนขนาดใหญ่และกว้างพร้อมกับเสาหลักที่มีการระลึกถึงผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ค่ะ พอเราผ่านตรงนี้มาแล้ว จะมีบันไดให้ขึ้นไปชมเรื่องราวประวัตศาสร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ระเบิดปรมาณูทุกอย่างเลยค่ะ
สถานที่แห่งนี้ก็ได้สร้างพิพิธภัณฑ์รวบรวมเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1945 และเปิดให้นักท่องเที่ยวได้รับชมด้วยค่ะ พิพิธภันฑ์แห่งนี้ชื่อว่า Nagasaki Atomic Bomb Museum
สำหรับค่าเข้าชมราคาผู้ใหญ่ 200 เยน
ค่าเข้าชมราคาสำหรับเด็ก (ถึงระดับชั้นประถมศึกษา) 100 เยน
สำหรับราคาที่มาเป็นกรุ๊ปมากกว่า 15 คน ค่าเข้าชมราคาผู้ใหญ่ 160 เยน และราคาเด็ก 80 เยน ค่ะ
ให้เราเดินลงข้างล่างนี้เพื่อไปเข้าชมพิพิธภันฑ์กันนะคะ แต่เอ๊ะ? ทุกคนเห็นตรงกำแพงหรือเปล่าคะว่ามีตัวเลขปี ค.ศ. เขียนไว้อยู่บนกำแพง นั่นหมายถึงการย้อนเวลากลับจากปัจจุบันไปสู่เหตุการณ์ในปี 1945 นั่นเอง เรื่องราวที่คนในจังหวัดนางาซากิไม่เคยลืม และ แน่นอนว่ารวมไปถึงคนญี่ปุ่นทั่วประเทศด้วยค่ะ (ขนาดคนต่างชาติเองก็ยังไม่เคยลืมเหตุการณ์นี้เลยค่ะ)
ถ้าทุกคนพร้อมแล้ว เราย้อนเวลากลับไปกันค่ะ! 9 สิงหาคม 1945 เวลา 11:02 น. สำหรับครั้งนี้เราอาจจะถ่ายรูปมาได้ไม่เยอะมากนัก แต่ว่าอยากจะให้ทุกคนที่มาเที่ยวจังหวัดนางาซากิได้มากันนะคะ เพราะเป็นประวัติศาสตร์ที่ควรค่าแก่การเรียนรู้มากๆ เลยสำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้ เรื่องราวทุกอย่างจะถูกรวบรวมไว้อย่างละเอียด
เอาล่ะค่า หลังจากที่เราก็ได้ชมประวัติศาสตร์และเหตุการณ์ของจังหวัดนางาซากิกันแล้ว ทุกท่านคงจะหิวกันแล้วใช่มั้ยเอ่ยยย? เดินทางแบบนี้ มาในตัวเมืองแบบนี้เราต้องไปเติมพลังอาหารพื้นเมืองของจังหวัดนี้กันซะแล้วววววว
สถานที่ต่อไปที่เราจะพาไป ให้เดินออกมาจากพิพิธภันฑ์ Nagasaki Atomic Bomb Museum แล้วไม่ต้องเดินลงข้างล่างแล้วนะคะ ให้เดินเลี้ยวซ้ายแล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ เลยค่ะ เพราะเราจะไปสถานีเพื่อขึ้นรถรางกันนะคะ เราจะขึ้นจากสถานี Hamaguchi-Machi (浜口町) ไปยังสถานี Tsuki Machi (築町) เพื่อไปเปลี่ยนสายรถรางแล้วเดินทางต่อกันนะคะ ให้ขึ้นสายสีฟ้าเหมือนเดิม ก็คือเบอร์ 1 ขึ้นไปเลยยยยย
พอเรามาถึงสถานี Tsuki Machi แล้วให้เราอยู่ฝั่งที่เป็นชานชาลาหมายเลข 5 นะคะเพราะเราจะไปสายนี้กัน แล้วก็ขึ้นรถไฟสายสีเขียว เบอร์ 5 ไปยังสถานี Ouratenshudo-Shita (大浦天主堂下)
เมื่อเราเดินทางมาถึงสถานี Ouratenshudo-Shita แล้วให้เราออกมาจากสถานี แล้วเดินข้ามถนนเพื่อที่เราจะไปรับประทานอาหารกลางวันกันนะคะ และอาหารพื้นเมืองของที่จังหวัดนางาซากิก็คือ ‘จัมปง และ ซาระอุด้ง’ ค่า มันคืออะไร? สำหรับจัมปง และ ซาระอุด้งเป็นเส้นที่ดัดแปลงมาจากอาหารจีน โดยส่วนผสมของจัมปงนั้นจะเป็นคล้ายๆ กับบะหมี่น้ำหรือแห้งในประเทศไทยของเรา หรือถ้าจะเทียบในประเทศญี่ปุ่นด้วยกันแล้วก็เหมือนกับยากิโซบะก็ว่าได้ แต่ความพิเศษของจัมปงก็คือ น้ำซุปก็จะต้องมาจากการเคี่ยวกระดูกไก่และหมู และจะใส่อาหารทะเล และ ผักลงไปด้วยเพื่อเพิ่มรสชาติให้ค่ะ ถือว่าเป็นอาหารจีนสไตล์ญี่ปุ่นที่มีความนิยมสูงอยู่มากค่ะ (สำหรับบ้านเราก็มีจัมปงขายเช่นกัน ได้แก่ร้าน Ringer Hut นั่นเอง)
สำหรับที่เราพาทุกท่านมาในวันนี้นะคะ ก็คือร้านอาหารต้นตำรับของจัมปงและซาระอุด้งที่มีชื่อว่า Shikairou 四海楼 (http://www.shikairou.com/1.htm) สำหรับร้านอาหารนี้มีประวัติมายาวนานมากๆ เปิดตั้งแต่สมัยเมจิ ปีที่ 25 ก่อตั้งโดยคุณจินเฮย์ จูนค่ะ (ค.ศ.1873-1939) ที่ร้านอาหารแห่งนี้จะมีลูกค้าเยอะมากๆ ค่ะ ใน 1 วัน ร้านอาหารจะเปิดตอน 11:00 พอดีเป๊ะๆ สำหรับคนไหนที่ไม่ได้จองที่ผ่านทางโทรศัพท์ ก็จะต้องเข้าแถวรอคิวที่หน้าลิฟท์ค่ะ ใครมาก่อนหรือมาหลังก็จะเรียกไปตามลำดับที่เราเข้าคิวค่ะ ยิ่งเราไปรอเร็ว เราก็จะมีโอกาสได้เข้าไปรับประทานก่อนนะคะ ที่นี่จะมีเปิด Champon Museum ด้วยนะคะ หรือพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับจัมปงนั่นเองค่ะ เป็นประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงปัจจุบัน เรียกได้ว่าทั้งอิ่มท้องและได้ความรู้ไปในตัว เอาล่ะค่ะ ตอนนี้เราไปต่อคิวกันนะคะ ก่อนที่คนจะเยอะไปมากกว่านี้ >w<!
ฮึบบบ ! พอเราขึ้นมาข้างบนร้านอาหารแล้ว เราสามารถเลือกที่นั่งได้ตามใจชอบเลยค่ะ โดยปกติแล้วเมนูอาหารที่ทุกคนจะมาลองทานกันจะเป็น จัมปงออริจินอล ทั้งแบบน้ำแล้วก็แห้งล่ะค่ะ แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยนะคะว่า ชามมันใหญ่มากกกกกก สำหรับท่านไหนที่เป็นคนทานน้อย แนะนำว่าขอชามแบ่งแล้วทานกันหลายๆ คนค่ะ เพราะมันใหญ่จริง ฮาๆ เห็นจากในรูปอาจจะดูไม่ใหญ่มาก แต่ปริมาณสุดยอดจริงๆ ถือว่าคุ้มมากๆ ไม่ต้องห่วงนะคะ สำหรับร้านนี้จะมีรูปให้เราดูตอนสั่งแน่นอนค่ะ แล้วชี้บอกเขาได้เลย
หลังจากที่เรารับประทานอาหารกันเสร็จแล้ว ฝั่งทางด้านขวาของร้านอาหาร เราจะพาทุกคนไปเยื่ยมชมโบสถ์คาทอลิกโออุระ ที่อยู่บริเวณนี้กันนะคะ ที่โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1865 เพื่อเป็นระลึกถึงมิชชันนารี และชาวคริสต์ญี่ปุ่นที่ถูกตรึงกางเขนทั้ง 26 คนในปี ค.ศ.1597 โดยสร้างเป็นแบบสถาปัตยกรรมโกธิคเก่าแก่ในประเทศญี่ปุ่น ภายในตกแต่งด้วยกระจกที่มีอายุนานถึง 100 ปี และการที่เราจะไปชมสวนดอกไม้อย่างที่ สวนโกลฟเวอร์ (Glover Garden) เราก็จะต้องผ่านทางขึ้นโบสถ์นี้ด้วยค่ะ เพราะฉะนั้นเราแวะไปที่โบสถ์กันก่อนนะคะ ไปชมความสวยงามกัน!
ทางขึ้นไปชมโบสถ์ตามถนนก็มีร้านขายของฝากมากมายเลยล่ะค่ะ แถมมีขนมเยอะแยะเลย ถ้าใครยังไม่อิ่มก็สามารถแวะร้านไปซื้อขนมทานกันได้นะคะ ที่นี่จะใช้การออกแบบมาจากประเทศเนเธอร์แลนด์และฮอลแลนด์ซะส่วนมากค่ะ จังหวัดนางาซากิได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมมาจาก ฝั่งยุโรปค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้สิ่งก่อสร้างมีความสวยงามเพิ่มมากขึ้นนะคะ
และแล้วเราก็เดินขึ้นมาถึงทางเข้าชมโบสถ์กันแล้วล่ะค่ะ ถ้าท่านไหนสนใจที่จะเข้าไปชมก็สามารถซื้อตั๋วได้จากเค้าท์เตอร์ทางด้านซ้ายมือได้เลยนะคะ สำหรับราคาผู้ใหญ่ 600 เยน และ ราคาสำหรับเด็กมัธยม 400 เยน และราคาเด็กประถมลงไป จะราคา 300 เยนค่า พอเราซื้อตั๋วแล้วขึ้นบันไดกันสักอีกนิดนึง แล้วเข้าไปชมกันเลย! แต่บอกก่อนนะคะ ว่าที่นี่ถ่ายรูปไม่ได้นะคะ เพราะมันจะไปรบกวนคนอื่นเขานะคะ (ที่เราถ่ายได้เพราะขออนุญาตเป็นพิเศษในการทำงานค่า) แต่อยากจะบอกเลยว่า เราเป็นคนศาสนาพุทธ แต่เรียนโรงเรียนคริสต์มาพอได้มานั่งลงแล้วจิตใจสงบเหมือนกันค่ะ ใครที่เหนื่อยๆ อยากนั่งพัก ก็นั่งพักกันได้ที่นี่นะคะ >__<
หลังจากที่เราชมความสวยงามของโบสถ์กันไปแล้ว เราจะพาทุกท่านเข้าสู่ห้วงของความสุขในชมธรรมชาติใน สวนโกลฟเวอร์ (Glover Garden) กันนะคะ รับรองว่าที่นี่ใครอยากถ่ายรูปจะต้องออกมาสวยแน่นอน ให้เราอยู่ในชั้นบนที่เดินมาที่โบสถ์แล้วเลี้ยวไปตามป้ายที่เขียนว่า Glover Garden ได้เลยนะคะ แล้วก็จะเจอประตูพร้อมกับบันไดขึ้นไปขึ้นบนนะคะ แต่อาจจะสูงนิดนึง มีหลายชั้นค่ะ ฮาๆ เราสามารถเดินขึ้นบันไดธรรมดา หรือว่าจะขึ้นบันไดเลื่อนก็ได้นะคะ พอเราขึ้นไปชั้นบนเราก็จะเจอเค้าท์เตอร์ขายตั๋วค่ะ ให้เราเดินเข้าไปซื้อตั๋วก่อนก่อนนะคะ
ราคาสำหรับผู้ใหญ่ 610 เยน
ราคาสำหรับเด็กมัธยมปลาย 300 เยน
ราคาสำหรับเด็กมัธยมต้น และ เด็กประถม (เด็กเล็ก) 180 เยน
อ้อ ลืมบอกไปว่า ที่นี่เราสามารถใช้บัตร Discount Card ที่เราได้รับจากโรงแรมได้นะคะ โดยราคาจะเป็น
ราคาสำหรับผู้ใหญ่ 510 เยน
ราคาสำหรับเด็กมัธยมปลาย 240 เยน
ราคาสำหรับเด็กมัธยมต้น และ เด็กประถม (เด็กเล็ก) 140 เยน
เอาล่ะค่ะ การเดินทางยังไม่สิ้นสุดนะคะ เราจะต้องขึ้นไปอีกเยอะเลยล่ะ แน่นอนว่าที่นี่มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้พวกเราแน่นอนค่ะ นั่นก็คือออออ บันไดเลื่อนค่า ฮาๆ เอาล่ะค่ะ เราขึ้นไปเรื่อยๆ กัน สำหรับสวนโกลฟเวอร์ เป็นที่ตั้งของคฤหาสน์หรูของ โทมัส เบลค โกลฟเวอร์ พ่อค้าชาวสกอตแลนด์ ผู้ที่มาใช้ชีวิตอาศัยอยู่ในจังหวัดนางาซากิในปี 1863 เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญต่อประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นในสมัยนั้น และเป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรปเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น สวนแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาที่มองเห็นวิวทั่วนางาซากิ และเห็นท่าเรืออีกด้วย แถม!! ในสวนแห่งนี้ยังมีหินรูปหัวใจซ่อนอยู่บนพื้นทางเดิน 2 แผ่นด้วย สงสัยจะต้องเดินตามหากันซะแล้ววววว
เอาล่ะค่ะ หลังจากที่เราเดินขึ้นมาเรื่อยๆ เราก็เจอบ้านที่ตั้งอยู่ตรงกลางแล้วนะคะ แล้วก็จะเห็นบ่อปลาคราฟที่มีอยู่ตรงกลางด้วย เราสามารถเดินเข้าไปข้างในเพื่อถ่ายรูป แล้วชมวิวจากมุมบนได้ด้วย ภายในก็จะมีประวัติศาสตร์ต่างๆ ตั้งไว้อยู่เราสามารถเดินเข้าไปชมได้ค่ะ แล้วก็เดินขึ้นข้างบนได้ด้วยเช่นกัน สำหรับทางออกสามารถเดินลงตามป้ายที่เขียน ‘Exit’ ได้เลย
พอเราขึ้นมาแล้ว เราก็ต้องลง! ให้พยายามมองหาป้าย ‘Exit’ กันไว้นะคะ ทุกท่านอาจจะสงสัย เอ๊ะ? จะกลับกันแล้วเหรอทำไมมีแค่นี้เองเหรอ? ไม่ใช่นะคะ เพราะว่าจุดที่เราจะพาทุกท่านชมต่อจากนี้ตั้งอยู่ระหว่างทางที่เราจะออกจากสวนนี้กันนะคะ เพราะฉะนั้นแล้ว ให้ทุกคนลงบันไดกันได้เลยนะคะ เราจะพาไปชมสวนดอกไม้ที่สวยๆ ระหว่างเรากำลังเดินกลับกัน ระหว่างที่เราเดินลงไปเรื่อยๆ เราจะได้เจอกับร้านกาแฟให้นั่งพัก รวมไปถึงพิพิธภันฑ์ที่มีความเกียวข้องกับกิโมโนด้วยเช่นกันนะคะ
พอเราเดินมาเรื่อยๆ เราก็จะเจอตรงนี้แล้ว! วันที่เราเดินทางมาฝนตกค่อนข้างหนัก อาจจะทำให้วิวไม่สวยเท่าไหร่นัก แต่รับรองว่าถ้าอากาศดีคือสวยแน่นอนค่า แล้วก็ตรงนี้มีแผ่นหินที่เป็นรูปหัวใจ ที่ได้บอกไปเมื่อกี้นะคะ เราสามารถเดินตามหากันได้แล้วอย่าลืมถ่ายรูปนะคะ เพราะหินนี้ทำมานานแล้วมากกว่า 100 ปี และเนียนมากๆเลยล่ะ ถ้าไม่สังเกตคือมองไม่ออกเลยว่าอยู่ตรงไหนฮาๆ
หลังจากที่ชมสถานที่ต่างๆ แล้วเราก็จะเดินมาเรื่อยๆ จะประตูทางออกลงไปข้างล่างนะคะ ให้เราเดินเข้าตึกนี้เข้าไปเลย ข้างในตึกนี้จะเป็นทางออกแล้วก็ประวัติเกี่ยวกับเทศกาลต่างๆในจังหวัดนางาซากินะคะ
เย้! เราก็ได้ชมไปแล้วก็สวนโกลฟเวอร์ ต่อจากนี้เราจะเดินทางไปสถานที่สุดท้ายของวันนี้กันแล้วนะคะ ให้เราเดินกลับไปทางเดิมกับที่เรามาตอนแรกนะคะ นั่นก็คือสถานีรถรางนั่นเอง แต่ในระหว่างที่เดินกลับนั้น เราอยากจะขอแนะนำร้านขนมอันนี้หน่อยนะคะ ถ้าพูดให้เข้าใจจริงๆ แล้วก็เหมือนซาลาเปาไส้หมูบ้านเรานี่ล่ะ เพียงแต่ไส้หมูคือหมูสามชั้นค่ะ มีหมูแบบอื่นๆ ด้วยและมีไซส์เบอเกอร์ด้วย ราคาถือว่าคุ้มค่าความอร่อยมากๆ อย่าลืมแวะทานกันก่อนกลับนะคะ ห้ามพลาดเชียววววว
โอเคค่ะ! สถานที่สุดท้ายที่เราจะพาทุกท่านไปกัน นั่นก็คือ ต้นตำรับของขนมคัสเทลล่า (Castella) ค่า แน่นอนถ้าพูดถึงจังหวัดนางาซากิแล้วขนมที่ขึ้นชื่อมากที่สุดก็ต้องไม่พ้น คัสเทลล่าแน่นอน เรายังไม่ต้องขึ้นสถานีรถรางกลับนะคะ แต่เราจะให้ทุกท่านข้ามถนนเพื่อไปอีกฝั่งหนึ่งค่ะ ร้านนี้ก็อยู่บริเวนเดียวกับสวนโกลฟเวอร์นะคะ แต่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกัน โอเคค่ะ เราก็จะเดินกลับกันเนอะ เดินข้ามกันระวังๆ ด้วยน้า เพราะที่นี่รถรางเค้าไม่มีที่กั้นนะคะ แต่จะมีติดไฟแดงเหมือนรถปกติทั่วไปเหมือนกัน
เอาล่ะ นี่คือร้านคัสเทลล่าต้นตำรับที่เราจะพาทุกคนเข้าไปชมกันนะคะ สำหรับใครที่คิดถึงของฝากไม่ออก แนะนำที่นี่เลยจริงๆ ค่ะ ของเขาดีจริง และเป็นประวัติมายาวนานมากๆ ร้านนี้มีชื่อว่า Bunmeidou Souhonten หรือ บุนเมย์โดว โซวฮนเต็น (文明堂総本店) ค่ะ พอเราเดินเข้ามาแล้วจะมีสินค้าวางไว้มากมายหลายรูปแบบเลยค่ะ ที่นี่ในทุกๆ วัน จะมีขนมคัสเทลล่าอบร้อนๆ แล้วแพ็คใส่ไว้อย่างสวยงามเตรียมไว้ให้สำหรับลูกค้าในแต่วัน ถ้าเป็นร้านขายของฝากบางที่อาจจะทำไว้หลายวันแล้วก็มีวิธีการเก็บรักษา ทำให้เก็บได้นานและไม่หมดอายุเร็ว แต่สำหรับที่นี่เองวันหมดอายุอาจจะค่อนสั้นเพราะว่าทำกันสดๆ แต่ว่าความอร่อยนั้นสุดยอดมากๆ เลยค่ะ โดยเฉพาะตอนทำออกมาเสร็จใหม่ๆ
ความพิเศษของที่นี่ก็คือ โดรายากิที่เรารู้จักกันจากการ์ตูนเรื่องโดเรมอนที่ข้างในเป็นไส้ถั่วแดง สำหรับที่นี่จะทำไส้พิเศษออกมาขายด้วยตามฤดูกาลค่ะ อย่างตอนนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงทางร้านก็ได้นำเกาลัดมาทำเป็นไส้ เป็นรสชาติที่ไม่เคยได้ลองทานในขนมสักเท่าไหร่ พอเราได้ทานแล้วอยากบอกมากๆ ว่าอร่อยสุดๆ แถมหน้าตาของขนมก็ดูดีสุดๆไปเลย
เราลืมพระเอกของงานนี้ไปเลยก็คือขนมคัสเทลล่านะคะ สำหรับที่นี่ไม่ได้มีแค่คัสเทลล่าธรรมดาเท่านั้น ยังมีการใส่เกล็ดขนมเล็กๆน้อยๆ ไว้บนเนื้อของคัสเทลล่าอีกด้วย ต้องขอบอกเลยว่าไม่ว่าจะเป็นแบบธรรมดาหรือแบบพิเศษก็อร่อยคู่เลยค่ะ สำหรับคนที่ชอบทานห้ามพลาดนะคะ มาถึงนางาซากิแล้วต้องทานเลย(ถ้าใครไม่ชอบเรายังมีตัวเลือกให้ค่ะ)
อันนี้เป็นขนมวาฟเฟิลอังโกะ หรือว่าขนมถั่วแดงค่ะ ที่ออกแบบมาให้สำหรับคนทานได้มีโอกาสใส่ไส้ถั่วแดงลงในวาฟเฟิลด้วยตัวเอง วิธีการคือไม่อยากเลยค่ะ เพียงแค่แกะทั้งสองอย่างออกมา แล้วก็เปิดปากของวาฟเฟิลรอทิ้งไว้ แล้วก็แกะไส้ออกมาแล้วก็โปะเข้าไปเลยยยย เราเป็นคนที่ไม่ชอบทานถั่วแดงมากๆ ค่ะ เพราะมีอาการแพ้เล็กน้อย แต่ว่าวันนี้ต้องขอลองจริงๆ พอทานแล้ว อื้อหืออออออ หวานอร่อยมากเลยค่ะ บวกกับวาฟเฟิลนี่กรอบๆ นี่เข้ากันได้เยี่ยมไปเลยยย
สำหรับวันนี้ทุกท่านอาจจะเหนื่อยมากๆแล้วสำหรับคนที่จะเดินทางต่อในนางาซากิ ก็สามารถเดินทางกลับโดยรถรางได้นะคะ แล้วไปสถานที่อื่นๆต่อ แต่สำหรับท่านไหนถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเดินทางแล้วจะกลับไปที่จังหวัดฟุกุโอกะล่ะก็ สามารถขึ้นรถบัสกลับได้จาก สถานี Nagasaki Bus Terminal กลับกันได้นะคะ ให้เราขึ้นรถรางกลับไปที่สถานี Tsuki-Machi เพื่อไปขึ้นรถบัสกันนะคะ
สำหรับการเดินทางในครั้งนี้หวังว่าจะมีประโยชน์ให้กับหลายๆ ท่านนะคะ อย่าลืมแวะมาเที่ยวกันที่จังหวัดนางาซากิกันนะคะ ความสวยงามธรรมชาติของที่นี่ไม่แพ้ในหลายๆ จังหวัดของญี่ปุ่นแน่นอนค่า
ท่านที่สนใจ สามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับจังหวัดนางาซากิเพิ่มเติมได้ที่
เฟสบุคเพจ https://www.facebook.com/nagasaki.th
เว็บไซต์ http://nagasaki-th.blogspot.jp/
สำหรับวันที่ 2 นี้ เราจะเริ่มเดินทางจาก สถานีรถไฟนางาซากิ - สวนเฮย์วะ - ร้านอาหารชิไคโด สาขาโอระเดนชูโตมาเอะ ปิดท้ายด้วยร้านเค้คัสเตลลาบุงเมย์โดอันเลื่องชื่อค่า
ก่อนที่เราจะเริ่มออกเดินทางกัน เราจะมาซื้อบัตร One day pass สำหรับรถรางในสถานีรถไฟ Nagasaki Station กันนะคะ ที่นี่มีร้านขายของฝากขนมต่างๆ รวมไปถึงห้าง Amu Plaza ที่อยู่ภายในสถานีรถไฟ Nagasaki Station ด้วยค่ะ
สำหรับเค้าท์เตอร์จำหน่ายตั๋ว One day pass รถราง จะอยู่ชั้นที่ 1 ติดกับทางเข้ารถไฟของสถานีนะคะ ตามรูปคือด้านซ้ายมือ เข้าไปที่ห้อง Waiting Room นะคะ พอเข้ามาเราจะเจอป้ายตั้งอยู่บนโต๊ะเลย ตรง Tourist Information เราสามารถชี้บอกเขาได้เลยค่ะว่าเราจะซื้อกี่ใบ สำหรับ One day pass รถราง จะมีราคาอยู่ที่ใบละ 500เยนค่ะ
แท่นแท๊นนนน ได้มาแล้วค่ะสำหรับตั๋ว One day pass แบบนี้เราก็สามารถเดินทางได้สบายๆ โดยที่ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มแล้ว อยากบอกว่า 500 เยนคุ้มมากจริงๆ ถ้าเทียบกับต้องจ่ายหลายๆ หลายรอบเวลาขึ้นรถรางนะคะ โอเคเลย เดี๋ยวเราจะไปที่สถานีรถรางกันนะคะ แต่ก่อนอื่นเราอยากจะแนะนำตรงนี้สักนิดนึงนะคะ สำหรับทุกๆ ท่านที่อยากจะสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ ในจังหวักนางาซากิ ที่นี่ยินดีให้คำปรึกษาในภาษาญี่ปุ่น และ ภาษาอังกฤษค่า สามารถสอบถามได้เลยไม่ต้องเกรงใจ
โอเคค่า มาต่อกันเลย การที่เราจะไปขึ้นสถานีรถราง ให้เราขึ้นบันไดเลื่อนในตัวสถานี (หรือตรงห้าง) ขึ้นไปชั้น 2 หรือจะออกไปขึ้นบันไดข้างนอกก็ได้เหมือนกันค่า ให้เราขึ้นไปชั้น 2 แล้วก็เดินตรงไปนะคะ ไปทางเชื่อมสะพานใหญ่ แล้วลงบันไดกลางเพื่อลงไปสถานีค่ะ โดยเราจะต้องลงบันไดหมายถึง 1,3 (ที่เขียนว่า For Akasako) อย่าเดินลงไปอีกฝั่งน้า พอเราเดินลงไปที่สถานี ให้เรารอรถรางเบอร์ 1 หรือรถสายสีฟ้านะคะ เพราะเราจะขึ้นคันนี้กัน
อ้อ แล้วก็อย่าลืมนะคะ เตรียมตั๋ว One day pass ไว้ให้พร้อมเพราะว่าตอนลงเราจะต้องโชว์ตั๋วนี้ให้คนขับดู ไม่งั้นเดี๋ยวเสียตังฟรีอีกแย่เลย สถานีที่เราจะลงกันคือ Matsuyama Machi ค่ะ (松山町) ก่อนลงป้ายนี้อย่าลืมกดกริ่งสีม่วงนะคะ >____<!
โอเคค่ะ เราก็เดินทางกันมาถึง Matsuyama Machi แล้ว ว่าแต่ที่นี่มีอะไรหว่า ถึงได้พามา? ที่นี่มีสถานที่ๆ ถ้าพูดแล้วทุกคนน่าจะร้องอ๋อกันทันทีเลย นั่นก็คือ Nagasaki Peace Park หรือ สวนสันติภาพนางาซากิ นั่นเอง ทุกคนที่รู้เรื่องประวัติศาสตร์น่าจะทราบกันดีว่าวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1945 ที่จังหวัดนางาซากิ ได้มีเหตุการณ์ทิ้งระเบิดปรมาณูเกิดขึ้นในช่วงของสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้คนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ที่แห่งนี้เลยถูกสร้างไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้รำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นค่ะ ให้เราเดินตามในรูปเลยนะคะ ข้ามถนนแล้วจะเห็นจากมุมไกล จะมีบันไดเลื่อนในร่มอยู่ค่ะ ให้เราไปตรงนั้นกันเลย (เดินตรงแล้วข้ามถนนทางด้านขวาตามรูปเลยนะคะ)
พอเราเดินขึ้นบันไดเลื่อนมาแล้ว ตอนนี้เราจะพามาดูบรรยากาศรอบๆ กันนะคะ ที่นี่ดอกไม้ตรงกลางทางเดินก็สวยมากๆเลยค่ะ ใครที่อยากชมดอกไม้ก็สามารถเดินขึ้นบันไดได้เลยนะคะ ถ้าไม่กลัวเหนื่อย ออกกำลังกายไปด้วยในตัว ลุยยยยยยยย (แต่เราเดินไม่ไหวขออนุญาตขึ้นบันไดเลื่อนนะคะ ฮาๆๆ)
พอขึ้นมาปุ๊บ! ก็เจอน้ำพุเลยค่ะ ถึงแม้ยังไม่ถึงจุดที่เราจะมากัน แต่ถ้าใครอยากแวะถ่ายรูปก็สามารถถ่ายได้เลย เสร็จแล้วเราจะเดินตรงเข้าไปเพื่อไปชมอนุสรณ์หรือเทพีเสรีภาพกันนะคะ พอเดินตรงมาเรื่อยๆ ก็จะเจอแล้วล่ะค่า ในแต่ละปีที่นี่จะมีคนเอาดอกไม้มาวางกันเพื่อระลึกถึงผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา แต่ทุกคนสามารถถ่ายรูปคู่กับเทพีได้นะคะไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ให้ถ่ายนะคะ เพราะส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ก็เพื่อมาชมเทพีนี้ล่ะค่ะ
หลังจากที่เราได้ชมสถานที่เกี่ยวกับเทพีเสรีภาพในตัวเมืองของนางาซากิกันแล้ว ตอนนี้เราจะพาทุกท่านเดินไปอีกฝั่ง เพื่อไปสถานที่อีกที่นึงที่เป็นอนุสรณ์ของเหตุการณ์นี้กันค่ะ ให้เราเดินลงมาจากที่ๆ เราเคยเดินขึ้นมานะคะ แล้วให้เดินไปทางซ้ายเราจะพบสวนขนาดใหญ่และกว้างพร้อมกับเสาหลักที่มีการระลึกถึงผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ค่ะ พอเราผ่านตรงนี้มาแล้ว จะมีบันไดให้ขึ้นไปชมเรื่องราวประวัตศาสร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ระเบิดปรมาณูทุกอย่างเลยค่ะ
สถานที่แห่งนี้ก็ได้สร้างพิพิธภัณฑ์รวบรวมเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1945 และเปิดให้นักท่องเที่ยวได้รับชมด้วยค่ะ พิพิธภันฑ์แห่งนี้ชื่อว่า Nagasaki Atomic Bomb Museum
สำหรับค่าเข้าชมราคาผู้ใหญ่ 200 เยน
ค่าเข้าชมราคาสำหรับเด็ก (ถึงระดับชั้นประถมศึกษา) 100 เยน
สำหรับราคาที่มาเป็นกรุ๊ปมากกว่า 15 คน ค่าเข้าชมราคาผู้ใหญ่ 160 เยน และราคาเด็ก 80 เยน ค่ะ
ให้เราเดินลงข้างล่างนี้เพื่อไปเข้าชมพิพิธภันฑ์กันนะคะ แต่เอ๊ะ? ทุกคนเห็นตรงกำแพงหรือเปล่าคะว่ามีตัวเลขปี ค.ศ. เขียนไว้อยู่บนกำแพง นั่นหมายถึงการย้อนเวลากลับจากปัจจุบันไปสู่เหตุการณ์ในปี 1945 นั่นเอง เรื่องราวที่คนในจังหวัดนางาซากิไม่เคยลืม และ แน่นอนว่ารวมไปถึงคนญี่ปุ่นทั่วประเทศด้วยค่ะ (ขนาดคนต่างชาติเองก็ยังไม่เคยลืมเหตุการณ์นี้เลยค่ะ)
ถ้าทุกคนพร้อมแล้ว เราย้อนเวลากลับไปกันค่ะ! 9 สิงหาคม 1945 เวลา 11:02 น. สำหรับครั้งนี้เราอาจจะถ่ายรูปมาได้ไม่เยอะมากนัก แต่ว่าอยากจะให้ทุกคนที่มาเที่ยวจังหวัดนางาซากิได้มากันนะคะ เพราะเป็นประวัติศาสตร์ที่ควรค่าแก่การเรียนรู้มากๆ เลยสำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้ เรื่องราวทุกอย่างจะถูกรวบรวมไว้อย่างละเอียด
เอาล่ะค่า หลังจากที่เราก็ได้ชมประวัติศาสตร์และเหตุการณ์ของจังหวัดนางาซากิกันแล้ว ทุกท่านคงจะหิวกันแล้วใช่มั้ยเอ่ยยย? เดินทางแบบนี้ มาในตัวเมืองแบบนี้เราต้องไปเติมพลังอาหารพื้นเมืองของจังหวัดนี้กันซะแล้วววววว
สถานที่ต่อไปที่เราจะพาไป ให้เดินออกมาจากพิพิธภันฑ์ Nagasaki Atomic Bomb Museum แล้วไม่ต้องเดินลงข้างล่างแล้วนะคะ ให้เดินเลี้ยวซ้ายแล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ เลยค่ะ เพราะเราจะไปสถานีเพื่อขึ้นรถรางกันนะคะ เราจะขึ้นจากสถานี Hamaguchi-Machi (浜口町) ไปยังสถานี Tsuki Machi (築町) เพื่อไปเปลี่ยนสายรถรางแล้วเดินทางต่อกันนะคะ ให้ขึ้นสายสีฟ้าเหมือนเดิม ก็คือเบอร์ 1 ขึ้นไปเลยยยยย
พอเรามาถึงสถานี Tsuki Machi แล้วให้เราอยู่ฝั่งที่เป็นชานชาลาหมายเลข 5 นะคะเพราะเราจะไปสายนี้กัน แล้วก็ขึ้นรถไฟสายสีเขียว เบอร์ 5 ไปยังสถานี Ouratenshudo-Shita (大浦天主堂下)
เมื่อเราเดินทางมาถึงสถานี Ouratenshudo-Shita แล้วให้เราออกมาจากสถานี แล้วเดินข้ามถนนเพื่อที่เราจะไปรับประทานอาหารกลางวันกันนะคะ และอาหารพื้นเมืองของที่จังหวัดนางาซากิก็คือ ‘จัมปง และ ซาระอุด้ง’ ค่า มันคืออะไร? สำหรับจัมปง และ ซาระอุด้งเป็นเส้นที่ดัดแปลงมาจากอาหารจีน โดยส่วนผสมของจัมปงนั้นจะเป็นคล้ายๆ กับบะหมี่น้ำหรือแห้งในประเทศไทยของเรา หรือถ้าจะเทียบในประเทศญี่ปุ่นด้วยกันแล้วก็เหมือนกับยากิโซบะก็ว่าได้ แต่ความพิเศษของจัมปงก็คือ น้ำซุปก็จะต้องมาจากการเคี่ยวกระดูกไก่และหมู และจะใส่อาหารทะเล และ ผักลงไปด้วยเพื่อเพิ่มรสชาติให้ค่ะ ถือว่าเป็นอาหารจีนสไตล์ญี่ปุ่นที่มีความนิยมสูงอยู่มากค่ะ (สำหรับบ้านเราก็มีจัมปงขายเช่นกัน ได้แก่ร้าน Ringer Hut นั่นเอง)
สำหรับที่เราพาทุกท่านมาในวันนี้นะคะ ก็คือร้านอาหารต้นตำรับของจัมปงและซาระอุด้งที่มีชื่อว่า Shikairou 四海楼 (http://www.shikairou.com/1.htm) สำหรับร้านอาหารนี้มีประวัติมายาวนานมากๆ เปิดตั้งแต่สมัยเมจิ ปีที่ 25 ก่อตั้งโดยคุณจินเฮย์ จูนค่ะ (ค.ศ.1873-1939) ที่ร้านอาหารแห่งนี้จะมีลูกค้าเยอะมากๆ ค่ะ ใน 1 วัน ร้านอาหารจะเปิดตอน 11:00 พอดีเป๊ะๆ สำหรับคนไหนที่ไม่ได้จองที่ผ่านทางโทรศัพท์ ก็จะต้องเข้าแถวรอคิวที่หน้าลิฟท์ค่ะ ใครมาก่อนหรือมาหลังก็จะเรียกไปตามลำดับที่เราเข้าคิวค่ะ ยิ่งเราไปรอเร็ว เราก็จะมีโอกาสได้เข้าไปรับประทานก่อนนะคะ ที่นี่จะมีเปิด Champon Museum ด้วยนะคะ หรือพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับจัมปงนั่นเองค่ะ เป็นประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงปัจจุบัน เรียกได้ว่าทั้งอิ่มท้องและได้ความรู้ไปในตัว เอาล่ะค่ะ ตอนนี้เราไปต่อคิวกันนะคะ ก่อนที่คนจะเยอะไปมากกว่านี้ >w<!
ฮึบบบ ! พอเราขึ้นมาข้างบนร้านอาหารแล้ว เราสามารถเลือกที่นั่งได้ตามใจชอบเลยค่ะ โดยปกติแล้วเมนูอาหารที่ทุกคนจะมาลองทานกันจะเป็น จัมปงออริจินอล ทั้งแบบน้ำแล้วก็แห้งล่ะค่ะ แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยนะคะว่า ชามมันใหญ่มากกกกกก สำหรับท่านไหนที่เป็นคนทานน้อย แนะนำว่าขอชามแบ่งแล้วทานกันหลายๆ คนค่ะ เพราะมันใหญ่จริง ฮาๆ เห็นจากในรูปอาจจะดูไม่ใหญ่มาก แต่ปริมาณสุดยอดจริงๆ ถือว่าคุ้มมากๆ ไม่ต้องห่วงนะคะ สำหรับร้านนี้จะมีรูปให้เราดูตอนสั่งแน่นอนค่ะ แล้วชี้บอกเขาได้เลย
หลังจากที่เรารับประทานอาหารกันเสร็จแล้ว ฝั่งทางด้านขวาของร้านอาหาร เราจะพาทุกคนไปเยื่ยมชมโบสถ์คาทอลิกโออุระ ที่อยู่บริเวณนี้กันนะคะ ที่โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1865 เพื่อเป็นระลึกถึงมิชชันนารี และชาวคริสต์ญี่ปุ่นที่ถูกตรึงกางเขนทั้ง 26 คนในปี ค.ศ.1597 โดยสร้างเป็นแบบสถาปัตยกรรมโกธิคเก่าแก่ในประเทศญี่ปุ่น ภายในตกแต่งด้วยกระจกที่มีอายุนานถึง 100 ปี และการที่เราจะไปชมสวนดอกไม้อย่างที่ สวนโกลฟเวอร์ (Glover Garden) เราก็จะต้องผ่านทางขึ้นโบสถ์นี้ด้วยค่ะ เพราะฉะนั้นเราแวะไปที่โบสถ์กันก่อนนะคะ ไปชมความสวยงามกัน!
ทางขึ้นไปชมโบสถ์ตามถนนก็มีร้านขายของฝากมากมายเลยล่ะค่ะ แถมมีขนมเยอะแยะเลย ถ้าใครยังไม่อิ่มก็สามารถแวะร้านไปซื้อขนมทานกันได้นะคะ ที่นี่จะใช้การออกแบบมาจากประเทศเนเธอร์แลนด์และฮอลแลนด์ซะส่วนมากค่ะ จังหวัดนางาซากิได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมมาจาก ฝั่งยุโรปค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้สิ่งก่อสร้างมีความสวยงามเพิ่มมากขึ้นนะคะ
และแล้วเราก็เดินขึ้นมาถึงทางเข้าชมโบสถ์กันแล้วล่ะค่ะ ถ้าท่านไหนสนใจที่จะเข้าไปชมก็สามารถซื้อตั๋วได้จากเค้าท์เตอร์ทางด้านซ้ายมือได้เลยนะคะ สำหรับราคาผู้ใหญ่ 600 เยน และ ราคาสำหรับเด็กมัธยม 400 เยน และราคาเด็กประถมลงไป จะราคา 300 เยนค่า พอเราซื้อตั๋วแล้วขึ้นบันไดกันสักอีกนิดนึง แล้วเข้าไปชมกันเลย! แต่บอกก่อนนะคะ ว่าที่นี่ถ่ายรูปไม่ได้นะคะ เพราะมันจะไปรบกวนคนอื่นเขานะคะ (ที่เราถ่ายได้เพราะขออนุญาตเป็นพิเศษในการทำงานค่า) แต่อยากจะบอกเลยว่า เราเป็นคนศาสนาพุทธ แต่เรียนโรงเรียนคริสต์มาพอได้มานั่งลงแล้วจิตใจสงบเหมือนกันค่ะ ใครที่เหนื่อยๆ อยากนั่งพัก ก็นั่งพักกันได้ที่นี่นะคะ >__<
หลังจากที่เราชมความสวยงามของโบสถ์กันไปแล้ว เราจะพาทุกท่านเข้าสู่ห้วงของความสุขในชมธรรมชาติใน สวนโกลฟเวอร์ (Glover Garden) กันนะคะ รับรองว่าที่นี่ใครอยากถ่ายรูปจะต้องออกมาสวยแน่นอน ให้เราอยู่ในชั้นบนที่เดินมาที่โบสถ์แล้วเลี้ยวไปตามป้ายที่เขียนว่า Glover Garden ได้เลยนะคะ แล้วก็จะเจอประตูพร้อมกับบันไดขึ้นไปขึ้นบนนะคะ แต่อาจจะสูงนิดนึง มีหลายชั้นค่ะ ฮาๆ เราสามารถเดินขึ้นบันไดธรรมดา หรือว่าจะขึ้นบันไดเลื่อนก็ได้นะคะ พอเราขึ้นไปชั้นบนเราก็จะเจอเค้าท์เตอร์ขายตั๋วค่ะ ให้เราเดินเข้าไปซื้อตั๋วก่อนก่อนนะคะ
ราคาสำหรับผู้ใหญ่ 610 เยน
ราคาสำหรับเด็กมัธยมปลาย 300 เยน
ราคาสำหรับเด็กมัธยมต้น และ เด็กประถม (เด็กเล็ก) 180 เยน
อ้อ ลืมบอกไปว่า ที่นี่เราสามารถใช้บัตร Discount Card ที่เราได้รับจากโรงแรมได้นะคะ โดยราคาจะเป็น
ราคาสำหรับผู้ใหญ่ 510 เยน
ราคาสำหรับเด็กมัธยมปลาย 240 เยน
ราคาสำหรับเด็กมัธยมต้น และ เด็กประถม (เด็กเล็ก) 140 เยน
เอาล่ะค่ะ การเดินทางยังไม่สิ้นสุดนะคะ เราจะต้องขึ้นไปอีกเยอะเลยล่ะ แน่นอนว่าที่นี่มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้พวกเราแน่นอนค่ะ นั่นก็คือออออ บันไดเลื่อนค่า ฮาๆ เอาล่ะค่ะ เราขึ้นไปเรื่อยๆ กัน สำหรับสวนโกลฟเวอร์ เป็นที่ตั้งของคฤหาสน์หรูของ โทมัส เบลค โกลฟเวอร์ พ่อค้าชาวสกอตแลนด์ ผู้ที่มาใช้ชีวิตอาศัยอยู่ในจังหวัดนางาซากิในปี 1863 เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญต่อประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นในสมัยนั้น และเป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรปเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น สวนแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาที่มองเห็นวิวทั่วนางาซากิ และเห็นท่าเรืออีกด้วย แถม!! ในสวนแห่งนี้ยังมีหินรูปหัวใจซ่อนอยู่บนพื้นทางเดิน 2 แผ่นด้วย สงสัยจะต้องเดินตามหากันซะแล้ววววว
เอาล่ะค่ะ หลังจากที่เราเดินขึ้นมาเรื่อยๆ เราก็เจอบ้านที่ตั้งอยู่ตรงกลางแล้วนะคะ แล้วก็จะเห็นบ่อปลาคราฟที่มีอยู่ตรงกลางด้วย เราสามารถเดินเข้าไปข้างในเพื่อถ่ายรูป แล้วชมวิวจากมุมบนได้ด้วย ภายในก็จะมีประวัติศาสตร์ต่างๆ ตั้งไว้อยู่เราสามารถเดินเข้าไปชมได้ค่ะ แล้วก็เดินขึ้นข้างบนได้ด้วยเช่นกัน สำหรับทางออกสามารถเดินลงตามป้ายที่เขียน ‘Exit’ ได้เลย
พอเราขึ้นมาแล้ว เราก็ต้องลง! ให้พยายามมองหาป้าย ‘Exit’ กันไว้นะคะ ทุกท่านอาจจะสงสัย เอ๊ะ? จะกลับกันแล้วเหรอทำไมมีแค่นี้เองเหรอ? ไม่ใช่นะคะ เพราะว่าจุดที่เราจะพาทุกท่านชมต่อจากนี้ตั้งอยู่ระหว่างทางที่เราจะออกจากสวนนี้กันนะคะ เพราะฉะนั้นแล้ว ให้ทุกคนลงบันไดกันได้เลยนะคะ เราจะพาไปชมสวนดอกไม้ที่สวยๆ ระหว่างเรากำลังเดินกลับกัน ระหว่างที่เราเดินลงไปเรื่อยๆ เราจะได้เจอกับร้านกาแฟให้นั่งพัก รวมไปถึงพิพิธภันฑ์ที่มีความเกียวข้องกับกิโมโนด้วยเช่นกันนะคะ
พอเราเดินมาเรื่อยๆ เราก็จะเจอตรงนี้แล้ว! วันที่เราเดินทางมาฝนตกค่อนข้างหนัก อาจจะทำให้วิวไม่สวยเท่าไหร่นัก แต่รับรองว่าถ้าอากาศดีคือสวยแน่นอนค่า แล้วก็ตรงนี้มีแผ่นหินที่เป็นรูปหัวใจ ที่ได้บอกไปเมื่อกี้นะคะ เราสามารถเดินตามหากันได้แล้วอย่าลืมถ่ายรูปนะคะ เพราะหินนี้ทำมานานแล้วมากกว่า 100 ปี และเนียนมากๆเลยล่ะ ถ้าไม่สังเกตคือมองไม่ออกเลยว่าอยู่ตรงไหนฮาๆ
หลังจากที่ชมสถานที่ต่างๆ แล้วเราก็จะเดินมาเรื่อยๆ จะประตูทางออกลงไปข้างล่างนะคะ ให้เราเดินเข้าตึกนี้เข้าไปเลย ข้างในตึกนี้จะเป็นทางออกแล้วก็ประวัติเกี่ยวกับเทศกาลต่างๆในจังหวัดนางาซากินะคะ
เย้! เราก็ได้ชมไปแล้วก็สวนโกลฟเวอร์ ต่อจากนี้เราจะเดินทางไปสถานที่สุดท้ายของวันนี้กันแล้วนะคะ ให้เราเดินกลับไปทางเดิมกับที่เรามาตอนแรกนะคะ นั่นก็คือสถานีรถรางนั่นเอง แต่ในระหว่างที่เดินกลับนั้น เราอยากจะขอแนะนำร้านขนมอันนี้หน่อยนะคะ ถ้าพูดให้เข้าใจจริงๆ แล้วก็เหมือนซาลาเปาไส้หมูบ้านเรานี่ล่ะ เพียงแต่ไส้หมูคือหมูสามชั้นค่ะ มีหมูแบบอื่นๆ ด้วยและมีไซส์เบอเกอร์ด้วย ราคาถือว่าคุ้มค่าความอร่อยมากๆ อย่าลืมแวะทานกันก่อนกลับนะคะ ห้ามพลาดเชียววววว
โอเคค่ะ! สถานที่สุดท้ายที่เราจะพาทุกท่านไปกัน นั่นก็คือ ต้นตำรับของขนมคัสเทลล่า (Castella) ค่า แน่นอนถ้าพูดถึงจังหวัดนางาซากิแล้วขนมที่ขึ้นชื่อมากที่สุดก็ต้องไม่พ้น คัสเทลล่าแน่นอน เรายังไม่ต้องขึ้นสถานีรถรางกลับนะคะ แต่เราจะให้ทุกท่านข้ามถนนเพื่อไปอีกฝั่งหนึ่งค่ะ ร้านนี้ก็อยู่บริเวนเดียวกับสวนโกลฟเวอร์นะคะ แต่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกัน โอเคค่ะ เราก็จะเดินกลับกันเนอะ เดินข้ามกันระวังๆ ด้วยน้า เพราะที่นี่รถรางเค้าไม่มีที่กั้นนะคะ แต่จะมีติดไฟแดงเหมือนรถปกติทั่วไปเหมือนกัน
เอาล่ะ นี่คือร้านคัสเทลล่าต้นตำรับที่เราจะพาทุกคนเข้าไปชมกันนะคะ สำหรับใครที่คิดถึงของฝากไม่ออก แนะนำที่นี่เลยจริงๆ ค่ะ ของเขาดีจริง และเป็นประวัติมายาวนานมากๆ ร้านนี้มีชื่อว่า Bunmeidou Souhonten หรือ บุนเมย์โดว โซวฮนเต็น (文明堂総本店) ค่ะ พอเราเดินเข้ามาแล้วจะมีสินค้าวางไว้มากมายหลายรูปแบบเลยค่ะ ที่นี่ในทุกๆ วัน จะมีขนมคัสเทลล่าอบร้อนๆ แล้วแพ็คใส่ไว้อย่างสวยงามเตรียมไว้ให้สำหรับลูกค้าในแต่วัน ถ้าเป็นร้านขายของฝากบางที่อาจจะทำไว้หลายวันแล้วก็มีวิธีการเก็บรักษา ทำให้เก็บได้นานและไม่หมดอายุเร็ว แต่สำหรับที่นี่เองวันหมดอายุอาจจะค่อนสั้นเพราะว่าทำกันสดๆ แต่ว่าความอร่อยนั้นสุดยอดมากๆ เลยค่ะ โดยเฉพาะตอนทำออกมาเสร็จใหม่ๆ
ความพิเศษของที่นี่ก็คือ โดรายากิที่เรารู้จักกันจากการ์ตูนเรื่องโดเรมอนที่ข้างในเป็นไส้ถั่วแดง สำหรับที่นี่จะทำไส้พิเศษออกมาขายด้วยตามฤดูกาลค่ะ อย่างตอนนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงทางร้านก็ได้นำเกาลัดมาทำเป็นไส้ เป็นรสชาติที่ไม่เคยได้ลองทานในขนมสักเท่าไหร่ พอเราได้ทานแล้วอยากบอกมากๆ ว่าอร่อยสุดๆ แถมหน้าตาของขนมก็ดูดีสุดๆไปเลย
เราลืมพระเอกของงานนี้ไปเลยก็คือขนมคัสเทลล่านะคะ สำหรับที่นี่ไม่ได้มีแค่คัสเทลล่าธรรมดาเท่านั้น ยังมีการใส่เกล็ดขนมเล็กๆน้อยๆ ไว้บนเนื้อของคัสเทลล่าอีกด้วย ต้องขอบอกเลยว่าไม่ว่าจะเป็นแบบธรรมดาหรือแบบพิเศษก็อร่อยคู่เลยค่ะ สำหรับคนที่ชอบทานห้ามพลาดนะคะ มาถึงนางาซากิแล้วต้องทานเลย(ถ้าใครไม่ชอบเรายังมีตัวเลือกให้ค่ะ)
อันนี้เป็นขนมวาฟเฟิลอังโกะ หรือว่าขนมถั่วแดงค่ะ ที่ออกแบบมาให้สำหรับคนทานได้มีโอกาสใส่ไส้ถั่วแดงลงในวาฟเฟิลด้วยตัวเอง วิธีการคือไม่อยากเลยค่ะ เพียงแค่แกะทั้งสองอย่างออกมา แล้วก็เปิดปากของวาฟเฟิลรอทิ้งไว้ แล้วก็แกะไส้ออกมาแล้วก็โปะเข้าไปเลยยยย เราเป็นคนที่ไม่ชอบทานถั่วแดงมากๆ ค่ะ เพราะมีอาการแพ้เล็กน้อย แต่ว่าวันนี้ต้องขอลองจริงๆ พอทานแล้ว อื้อหืออออออ หวานอร่อยมากเลยค่ะ บวกกับวาฟเฟิลนี่กรอบๆ นี่เข้ากันได้เยี่ยมไปเลยยย
สำหรับวันนี้ทุกท่านอาจจะเหนื่อยมากๆแล้วสำหรับคนที่จะเดินทางต่อในนางาซากิ ก็สามารถเดินทางกลับโดยรถรางได้นะคะ แล้วไปสถานที่อื่นๆต่อ แต่สำหรับท่านไหนถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเดินทางแล้วจะกลับไปที่จังหวัดฟุกุโอกะล่ะก็ สามารถขึ้นรถบัสกลับได้จาก สถานี Nagasaki Bus Terminal กลับกันได้นะคะ ให้เราขึ้นรถรางกลับไปที่สถานี Tsuki-Machi เพื่อไปขึ้นรถบัสกันนะคะ
สำหรับการเดินทางในครั้งนี้หวังว่าจะมีประโยชน์ให้กับหลายๆ ท่านนะคะ อย่าลืมแวะมาเที่ยวกันที่จังหวัดนางาซากิกันนะคะ ความสวยงามธรรมชาติของที่นี่ไม่แพ้ในหลายๆ จังหวัดของญี่ปุ่นแน่นอนค่า
ท่านที่สนใจ สามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับจังหวัดนางาซากิเพิ่มเติมได้ที่
เฟสบุคเพจ https://www.facebook.com/nagasaki.th
เว็บไซต์ http://nagasaki-th.blogspot.jp/