สำหรับการเดินทาง เราเริ่มต้นจากที่สถานี Nagoya โดยนั่งรถไฟใต้ดินสาย Higashiyama ไปลงที่สถานี Sakae แล้วเปลี่ยนไปนั่งสาย Meijo ไปลงที่สถานี Shiyakusho เดินออกทาง Exit 7 ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ค่ารถไฟ 240 เยน
จากนั้นเดินเข้ามาในโซนปราสาทแล้วซื้อตั๋วเข้าชมด้านหน้าได้เลยค่ะ 12 ปีขึ้นไป เสีย 500 เยน
ปราสาทนาโกย่า (Nagoya Castle) สร้างขึ้นโดยท่านโชกุน โทคุกาวะ อิเอยาสึ ถูกเพลิงไหม้จนเสียหายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้รับการบูรณะใหม่ ตัวปราสาทถือว่าเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองนาโกย่าเลย รวมถึงปลาหัวเสือทองคำ Kinshachi ที่เป็นสัตว์ในตำนาน มีตัวเป็นปลาคาร์ฟ มีหัวเป็นสิงห์อยู่บนปราสาทซึ่งเป็นเครื่องรางป้องกันอัคคีภัยด้วย
ตัวปราสาทหลักมี 7 ชั้น ภายในมีนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา และ การจัดแสดงอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับตอนนี้อาคารหลักของปราสาทนาโกย่ามีการปิดปรับปรุงจนถึงปี 2022 จึงไม่สามารถเข้าไปชมด้านในปราสาทได้จ้า
เปิด 9:00 น. – 16:30 น.
หลังจากเดินเข้ามาก็จะเจอ Hommaru Palace เป็นการก่อสร้างขึ้นใหม่โดยใช้ตามแบบฉบับดั้งเดิม
ซากุระสายพันธุ์ Someiyoshino เป็นพันธุ์ที่พบเจอได้มากที่สุดในญี่ปุ่น เวลาประกาศพยากรณ์ซากุระบานก็จะยึดเอาพันธุ์โซเมอิโยชิโนะเป็นตัววัดด้วยค่ะ
ซากุระสายพันธุ์ Shidarezakura จุดเด่นของซากุระสายพันธุ์นี้คือกิ่งที่ห้อยยาวลงมาเหมือนสายน้ำตก เป็นดอกไม้ประจำจังหวัดเกียวโต
บอกเลยว่าซากุระที่นี่ มีหลายสายพันธุ์ หลายแบบมากๆ ทำให้เดินเพลินเลยค่ะ โดยบริเวณรอบปราสาทและตามแนวคูเมืองปราสาทจะปลูกด้วยต้นซากุระสายพันธุ์ Someiyoshino ขอบอกว่าที่นี่มีซากุระปลูกเกือบ 10 สายพันธุ์ หากใครมาช่วงกลางเดือนก็จะเจอกับสายพันธุ์ Gyoiko สีกลีบจะเป็นสีเขียวอ่อน บางครั้งก็มีสีชมพูเข้มที่โคนกลีบ จะดูต่างจากซากุระพันธุ์อื่นๆ และหายากด้วย
อีกสิ่งที่สนุกมากคือการแสดงของบุโชไต ที่เราสามารถดูได้ฟรีที่หน้าลาน Ninomaru (พูดญี่ปุ่นอย่างเดียวนะคะ)
อีกสิ่งที่ห้ามพลาดคือ ไอติมนินจาหน้าปราสาทด้านนอก อร่อยมากกก ไอติมเลือกรสได้ ด้านนอกเป็นแผ่นแป้งโมจิคลุม
ขากลับโรงแรมที่สถานี Nagoya แวะซื้อเค้กลูกเจี๊ยบขึ้นชื่อของที่นี่ อร่อยมาก คอนเฟิร์มว่ามานาโกย่าต้องลองทานนะคะ
เดินทางวันที่ 10 เมษายน 2019
เรื่องโดย CHRA