"ซูชิ" อาหารญี่ปุ่นที่ไม่ว่าใครต่างก็ชื่นชอบ จัดได้ว่าเป็นอาหารแห่งจิตวิญญาณของชาวญี่ปุ่นที่กำลังแพร่หลายแม้กระทั่งในต่างประเทศ รวมถึงในประเทศไทยด้วย แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ลึกถึงกระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวกับเมนูเจ้าซูชินี้ ดังนั้น วันนี้เลยจะมาเล่าถึงเกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับซูชิกันนะคะ ^-^
■ซูชิก่อนหน้าที่จะมาเป็นซูชิในปัจจุบันมันเป็นอย่างไรกันนะ?
ในปัจจุบัน ทุกๆ คนสามารถเพลิดเพลินไปกับซูชิได้อย่างสบายๆ ตามร้านซูชิจานหมุน แต่รู้ไหมว่าในสมัยก่อนซูชิเคยเป็นอาหารที่มีภาพลักษณ์เป็นอาหารของชนชั้นสูงมาก่อนนะ ด้วยเหตุนี้ จึงอาจจะทำให้ถูกเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ยังคงอยู่จนเป็นที่คุ้นเคยเมื่อกาลเวลาผ่านล่วงเลยไป แต่ที่จริงแล้วในสมัยเอโดะเองก็เคยมีการกล่าวว่าซูชิเป็นของกินของชาวบ้านคล้ายกับอาหารฟาสต์ฟู้ดในยุคปัจจุบันนี้เช่นกันค่ะ
จนกระทั่งได้มีการนำข้าวมาบรรจุลงในกล่อง วางเครื่องอาหารลงบนข้าว แล้วกดอัดลงไปจนได้ "ฮาโกะซูชิ" ซูชิกล่องที่ได้กลายมาเป็นกระแสหลักของซูชิ แต่อย่างไรก็ดี การผลิตฮาโกะซูชิต้องใช้ทั้งกำลังแรงและเวลาในการทำอยู่พอสมควร
จนเวลาต่อมาก็ได้มีการริเริ่มทำ "นิกิริซูชิ" ขึ้นในช่วงปลายสมัยเอโดะ ซึ่งมาจากการนำปลาทะเลสดๆ ที่จับมาได้จากบริเวณใกล้ชายฝั่งทะเลเอโดะ (เอโดะมาเอะ) มาเป็นวัตถุดิบในการทำซูชิ แล้วก็ได้กลายมาเป็นของว่างที่สามารถหาทานได้ง่ายและแพร่กระจายไปในหมู่คนที่อาศัยอยู่ในเอโดะอย่างรวดเร็ว
วิธีการทาน "นิกิริซูชิ" นี้ ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าใครเป็นผู้ริเริ่ม แต่มีการกล่าวกันว่าพ่อครัวทำซูชิในสมัยเอโดะที่ชื่อ "ฮานายะ โยเฮ" มีส่วนช่วยให้วิธีการกินแบบนี้เป็นที่แพร่หลายมากขึ้น
■เหตุผลที่ทางร้านซูชิเสิร์ฟซูชิเพียงจานละ 2 คำ
ซูชิในสมัยเอโดะนั้นมีจุดที่แตกต่างจากซูชิในปัจจุบันอยู่มาก นั่นก็คือ "ขนาดของซูชิ" นั่นเอง เมื่อเทียบกับซูชิในปัจจุบันที่เพียงเอาเข้าปากคำเดียวก็หมดแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่าซูชิในสมัยเอโดะมีขนาดใหญ่กว่าในปัจจุบันถึง 2-3 เท่า!!
ซูชิที่มีรูปร่างคล้ายกับข้าวปั้นโอนิกิริใส่ซาชิมิแบบนี้ แน่นอนว่าทานได้ค่อนข้างยาก ดังนั้น ในเวลาต่อมาจึงได้ทำการลดขนาดซูชิลงมาครึ่งหนึ่ง จนนำไปสู่ซูชิที่เสิร์ฟมาจานละ 2 คำ ตามที่เห็นในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ที่ญี่ปุ่นเขาถือความเชื่อว่าของที่เสิร์ฟมาเป็นคู่จะทำให้เกิดเรื่อง "โชคดี" ด้วย และนี่ก็น่าจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่าทำไมรูปแบบการเสิร์ฟซูชิถึงต้องเสิร์ฟจานละ 2 คำ
■ซูชิในสมัยเอโดะมีความเกี่ยวข้องกับบริษัทแห่งหนึ่งอย่างลึกซึ้งหรือไม่?
ทุกท่านทราบหรือไม่ว่ามีผู้ก่อตั้งบริษัทรายหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งในช่วงยุคสมัยเอโดะที่กระแสซูชิกำลังมาแรง ซึ่งสัมพันธ์กับเรื่องที่มีการนำน้ำส้มสายชูราคาแพงมาใช้กับซูชิที่กำลังเป็นที่นิยมในเวลานั้นด้วย
และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ก็คือ คุณนากาโนะ มาตาซาเอม่อน ประธานผู้ก่อตั้งบริษัท Mizkan คุณมาตาซาเอม่อนเคยทำโรงกลั่นเหล้าสาเกมาก่อน จึงได้ลองใช้ "คาสึซึ" น้ำส้มสายชูที่ทำจากตะกอนของเหล้าสาเกแล้วพบว่าสามารถทำให้ได้ซูชิที่มีรสชาติอร่อยกว่าการใช้น้ำส้มสายชูที่ทำจากข้าว จึงได้ตัดสินใจนำคาสึซึเข้ามาขายในดินแดนเอโดะเพื่อให้ติดตลาด
จากนั้น รสชาติของคาสึซึก็เริ่มเป็นที่นิยมว่าเข้ากับข้าวซูชิมาก และตามร้านซูชิชื่อดังก็เริ่มหันมาใช้คาสึซึมากขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อไรไม่รู้ที่น้ำส้มสายชูคาสึซึของคุณมาตาซาเอม่อนกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในเอโดะมาเอะซูชิไปเสียแล้ว
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
https://news.livedoor.com/article/detail/16921466/
■ซูชิก่อนหน้าที่จะมาเป็นซูชิในปัจจุบันมันเป็นอย่างไรกันนะ?
ในปัจจุบัน ทุกๆ คนสามารถเพลิดเพลินไปกับซูชิได้อย่างสบายๆ ตามร้านซูชิจานหมุน แต่รู้ไหมว่าในสมัยก่อนซูชิเคยเป็นอาหารที่มีภาพลักษณ์เป็นอาหารของชนชั้นสูงมาก่อนนะ ด้วยเหตุนี้ จึงอาจจะทำให้ถูกเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ยังคงอยู่จนเป็นที่คุ้นเคยเมื่อกาลเวลาผ่านล่วงเลยไป แต่ที่จริงแล้วในสมัยเอโดะเองก็เคยมีการกล่าวว่าซูชิเป็นของกินของชาวบ้านคล้ายกับอาหารฟาสต์ฟู้ดในยุคปัจจุบันนี้เช่นกันค่ะ
จนกระทั่งได้มีการนำข้าวมาบรรจุลงในกล่อง วางเครื่องอาหารลงบนข้าว แล้วกดอัดลงไปจนได้ "ฮาโกะซูชิ" ซูชิกล่องที่ได้กลายมาเป็นกระแสหลักของซูชิ แต่อย่างไรก็ดี การผลิตฮาโกะซูชิต้องใช้ทั้งกำลังแรงและเวลาในการทำอยู่พอสมควร
จนเวลาต่อมาก็ได้มีการริเริ่มทำ "นิกิริซูชิ" ขึ้นในช่วงปลายสมัยเอโดะ ซึ่งมาจากการนำปลาทะเลสดๆ ที่จับมาได้จากบริเวณใกล้ชายฝั่งทะเลเอโดะ (เอโดะมาเอะ) มาเป็นวัตถุดิบในการทำซูชิ แล้วก็ได้กลายมาเป็นของว่างที่สามารถหาทานได้ง่ายและแพร่กระจายไปในหมู่คนที่อาศัยอยู่ในเอโดะอย่างรวดเร็ว
วิธีการทาน "นิกิริซูชิ" นี้ ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าใครเป็นผู้ริเริ่ม แต่มีการกล่าวกันว่าพ่อครัวทำซูชิในสมัยเอโดะที่ชื่อ "ฮานายะ โยเฮ" มีส่วนช่วยให้วิธีการกินแบบนี้เป็นที่แพร่หลายมากขึ้น
■เหตุผลที่ทางร้านซูชิเสิร์ฟซูชิเพียงจานละ 2 คำ
ซูชิในสมัยเอโดะนั้นมีจุดที่แตกต่างจากซูชิในปัจจุบันอยู่มาก นั่นก็คือ "ขนาดของซูชิ" นั่นเอง เมื่อเทียบกับซูชิในปัจจุบันที่เพียงเอาเข้าปากคำเดียวก็หมดแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่าซูชิในสมัยเอโดะมีขนาดใหญ่กว่าในปัจจุบันถึง 2-3 เท่า!!
ซูชิที่มีรูปร่างคล้ายกับข้าวปั้นโอนิกิริใส่ซาชิมิแบบนี้ แน่นอนว่าทานได้ค่อนข้างยาก ดังนั้น ในเวลาต่อมาจึงได้ทำการลดขนาดซูชิลงมาครึ่งหนึ่ง จนนำไปสู่ซูชิที่เสิร์ฟมาจานละ 2 คำ ตามที่เห็นในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ที่ญี่ปุ่นเขาถือความเชื่อว่าของที่เสิร์ฟมาเป็นคู่จะทำให้เกิดเรื่อง "โชคดี" ด้วย และนี่ก็น่าจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่าทำไมรูปแบบการเสิร์ฟซูชิถึงต้องเสิร์ฟจานละ 2 คำ
■ซูชิในสมัยเอโดะมีความเกี่ยวข้องกับบริษัทแห่งหนึ่งอย่างลึกซึ้งหรือไม่?
ทุกท่านทราบหรือไม่ว่ามีผู้ก่อตั้งบริษัทรายหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งในช่วงยุคสมัยเอโดะที่กระแสซูชิกำลังมาแรง ซึ่งสัมพันธ์กับเรื่องที่มีการนำน้ำส้มสายชูราคาแพงมาใช้กับซูชิที่กำลังเป็นที่นิยมในเวลานั้นด้วย
และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ก็คือ คุณนากาโนะ มาตาซาเอม่อน ประธานผู้ก่อตั้งบริษัท Mizkan คุณมาตาซาเอม่อนเคยทำโรงกลั่นเหล้าสาเกมาก่อน จึงได้ลองใช้ "คาสึซึ" น้ำส้มสายชูที่ทำจากตะกอนของเหล้าสาเกแล้วพบว่าสามารถทำให้ได้ซูชิที่มีรสชาติอร่อยกว่าการใช้น้ำส้มสายชูที่ทำจากข้าว จึงได้ตัดสินใจนำคาสึซึเข้ามาขายในดินแดนเอโดะเพื่อให้ติดตลาด
จากนั้น รสชาติของคาสึซึก็เริ่มเป็นที่นิยมว่าเข้ากับข้าวซูชิมาก และตามร้านซูชิชื่อดังก็เริ่มหันมาใช้คาสึซึมากขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อไรไม่รู้ที่น้ำส้มสายชูคาสึซึของคุณมาตาซาเอม่อนกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในเอโดะมาเอะซูชิไปเสียแล้ว
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
https://news.livedoor.com/article/detail/16921466/