สำหรับชาวญี่ปุ่น มีอาหารที่หลากหลายและมีคุณค่าทางอาหารกันชนิดที่เรียกได้ว่าในมื้ออาหารหนึ่งมื้อนั้นจะได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์เข้าไปอย่างเต็มที่แน่นอน แต่ในวันนี้เรามีอาหารอีกหนึ่งอย่างที่อาจจะคุ้นตากันอย่าง อุเมะโบชิ (梅干し) มาแนะนำให้ได้ทราบถึงความอร่อยกันค่ะ
อุเมะโบชิ หรือ บ๊วยดอง นั้น ชาวญี่ปุ่นมักจะนิยมนำบ๊วยที่แก่จัดแล้วมาดองเก็บไว้เพื่อรับประทานกันอย่างแพร่หลาย การทำอุเมะโบชินี่มีมาตั้งแต่ในสมัยโบราณของญี่ปุ่นแล้วค่ะ โดยการทำอุเมะโบชิจะเลือกบ๊วยที่แก่ได้ที่แล้วนำมาดองในน้ำเกลือกับใบชิโซะแดง และเมื่อดองได้ที่แล้วเราก็จะได้อุเมะโบชิหรือบ๊วยดองเก็บเอาไว้รับประทานกันยาวๆ ไปเลยค่ะ แต่ถ้าบ๊วยดองที่ผ่านกรรมวิธีดองอย่างถูกต้องและเก็บรักษาไว้อย่างดีแล้วละก็ สามารถเก็บอุเมะโบชิไว้รับประทานได้นานเกือบร้อยปีก็ยังได้ค่ะ และด้วยความที่สามารถเก็บไว้รับประทานได้นานนี่เองที่ทำให้อุเมะโบชิเป็นเสมือนยาและอาหารที่จะขาดเสียไม่ได้ในครัวเรือนของชาวญี่ปุ่น ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเลยก็ว่าได้ค่ะ
อุเมะโบชิหรือบ๊วยดองนอกจากจะเก็บรักษาไว้ได้นานแล้ว ในตัวของอุเมะโบชิเองก็ยังมีคุณประโยชน์ซ่อนอยู่ด้วยค่ะ เพราะความเปรี้ยวของการนำบ๊วยคุณภาพดีไปดองจะทำให้ได้กรดซิตริก (Citric acid) สูง ช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยล้าให้ผ่อนคลาย ช่วยให้เจริญอาหาร ช่วยในการย่อยอาหาร และถ้าหากใครที่รับประทานอุเมะโบชิหรือบ๊วยดองเป็นประจำ อุเมะโบชิจะช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วยค่ะ นอกจากนี้ใครที่กังวลปัญหาเรื่องกลิ่นปาก การรับประทานอุเมะโบชิยังช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียและระงับกลิ่นในช่องปาก แถมยังไปช่วยฆ่าเชื้อโรคในกระเพาะอาหารและลำไส้ด้วยการป้องกันไม่ให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษได้อีกด้วยค่ะ แม้ลูกเล็กๆ แบบนี้ แต่มีประโยชน์เกินตัวจริงๆ ค่ะ
แล้วเราจะรับประทานอุเมะโบชิอย่างไรให้ฟินและได้ประโยชน์ล่ะคะ ไม่ยากอย่างที่คิดเลยค่ะ เราจะพบอุเมะโบชิในโอนิกิริอุเมะโบชิหรือข้าวปั้นบ๊วยดอง หรือใครจะรับประทานแบบเพิ่มรสชาติให้กับเบนโตะก็ไม่ว่ากันค่ะ ถ้าล้อมวงรับประทานอาหารกันเป็นครอบครัว การรับประทานอุเมะโบชิกับข้าวสวยร้อนๆ ก็ช่วยให้อาหารมื้อนั้นอร่อยและเจริญอาหารยิ่งขึ้นไปอีกค่ะ หรือถ้าคอแห้ง แนะนำให้นำอุเมะโบชิไปชงกับน้ำร้อน ดื่มเป็นชาก็สดชื่นไปอีกแบบค่ะ
สำหรับสาวๆ ที่อยากมีรูปร่างดี อุเมะโบชิช่วยได้ค่ะ เพราะมีงานวิจัยออกมาว่า ในอุเมะโบชิที่นำไปผ่านความร้อนมาแล้วอย่างเช่นการย่างนั้น จะทำให้สารวานิลลิน (Vanillin) ที่มีอยู่ในเนื้อบ๊วยแล้วนั้นเพิ่มปริมาณมากขึ้น ซึ่งสารตัวนี้จะไปทำหน้าที่ลดอัตราการเกาะของไขมันในร่างการของเราได้ค่ะ เพียงแค่รับประทานอุเมะโบชิ วันละ 3-4 เม็ดเท่านั้น เพราะถึงแม้ว่าจะมีประโยชน์อยู่มากแต่ค่าโซเดียมในอุเมะโบชิก็มีมากอยู่พอสมควรค่ะ ต้องรับประทานอย่างระวัง เพียงแค่นี้ก็ไม่ต้องพึ่งพายาลดความอ้วนแล้วละค่ะ
อุเมะโบชิมีอยู่ในทุกพื้นที่ของประเทศญี่ปุ่นค่ะ แต่ที่ขึ้นชื่อลือชาราวกับ OTOP ของบ้านเราแล้วละก็ ต้องไปที่เกาะฮอนชู ในจังหวัดวากายามะค่ะ เหตุที่บอกว่าขึ้นชื่อนั้นก็เพราะในพื้นที่แห่งนี้มีการปลูกต้นอุเมะหรือต้นบ๊วยกันเป็นจำนวนมาก และเมื่อได้ผลมาก งานสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์จึงเกิดขึ้นตามสไตล์ของชาวญี่ปุ่นที่ได้ทำการปรับแต่งสายพันธุ์ต้นบ๊วยขึ้นมาใหม่ ที่ให้เนื้อหวาน กรอบ และยังรังสรรค์สารพันเมนูต่างๆ ของอุเมะหรือบ๊วยขึ้น จากนั้นจึงทำให้เกิดอุเมะโบชิขึ้นที่จังหวัดแห่งนี้ โดยความพิเศษของอุเมะโบชิของที่นี่คือ การนำบ๊วยที่ตากแห้งสนิทแล้ว นำมาแช่ในน้ำส้มสายชูที่หมักจากบ๊วยตามสูตรของที่นี่และใส่ใบชิโซะสีแดงเข้มเพื่อเพิ่มรสเปรี้ยวเข้าไปค่ะ แค่นี่ก็จะได้อุเมะโบชิของดีของวากายามะแล้วค่ะ
อุเมะโบชิหรือบ๊วยดองนี้นับเป็นความใส่ใจเรื่องถนอมอาหารอันมีประโยชน์ในแบบฉบับของชาวญี่ปุ่นให้ได้เก็บไว้รับประทานกันอย่างอร่อยและมีประโยชน์ในเกือบทุกมื้ออาหาร เรียกได้ว่าไม่ผิดหวังแน่ๆ ค่ะถ้าได้ลองชิมอุเมะโบชิสักครั้งหนึ่ง เพราะนอกจากจะช่วยให้ร่างกายสดชื่น ระบบย่อยอาหารดีแล้ว แถมยังหุ่นเพียวไร้ไขมันอีกด้วยนะคะ แต่อย่างไรเสียควรรับประทานแต่พอเหมาะเพื่อให้เกิดประโยชน์แกร่างกายที่พอดีนะคะ
ข้อมูลจาก
https://www.jitco.or.jp/webtomo/th/index.html
https://krua.co/food-story/food-feeds/458/-lsquo-
อุเมะโบชิ หรือ บ๊วยดอง นั้น ชาวญี่ปุ่นมักจะนิยมนำบ๊วยที่แก่จัดแล้วมาดองเก็บไว้เพื่อรับประทานกันอย่างแพร่หลาย การทำอุเมะโบชินี่มีมาตั้งแต่ในสมัยโบราณของญี่ปุ่นแล้วค่ะ โดยการทำอุเมะโบชิจะเลือกบ๊วยที่แก่ได้ที่แล้วนำมาดองในน้ำเกลือกับใบชิโซะแดง และเมื่อดองได้ที่แล้วเราก็จะได้อุเมะโบชิหรือบ๊วยดองเก็บเอาไว้รับประทานกันยาวๆ ไปเลยค่ะ แต่ถ้าบ๊วยดองที่ผ่านกรรมวิธีดองอย่างถูกต้องและเก็บรักษาไว้อย่างดีแล้วละก็ สามารถเก็บอุเมะโบชิไว้รับประทานได้นานเกือบร้อยปีก็ยังได้ค่ะ และด้วยความที่สามารถเก็บไว้รับประทานได้นานนี่เองที่ทำให้อุเมะโบชิเป็นเสมือนยาและอาหารที่จะขาดเสียไม่ได้ในครัวเรือนของชาวญี่ปุ่น ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเลยก็ว่าได้ค่ะ
อุเมะโบชิหรือบ๊วยดองนอกจากจะเก็บรักษาไว้ได้นานแล้ว ในตัวของอุเมะโบชิเองก็ยังมีคุณประโยชน์ซ่อนอยู่ด้วยค่ะ เพราะความเปรี้ยวของการนำบ๊วยคุณภาพดีไปดองจะทำให้ได้กรดซิตริก (Citric acid) สูง ช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยล้าให้ผ่อนคลาย ช่วยให้เจริญอาหาร ช่วยในการย่อยอาหาร และถ้าหากใครที่รับประทานอุเมะโบชิหรือบ๊วยดองเป็นประจำ อุเมะโบชิจะช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วยค่ะ นอกจากนี้ใครที่กังวลปัญหาเรื่องกลิ่นปาก การรับประทานอุเมะโบชิยังช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียและระงับกลิ่นในช่องปาก แถมยังไปช่วยฆ่าเชื้อโรคในกระเพาะอาหารและลำไส้ด้วยการป้องกันไม่ให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษได้อีกด้วยค่ะ แม้ลูกเล็กๆ แบบนี้ แต่มีประโยชน์เกินตัวจริงๆ ค่ะ
แล้วเราจะรับประทานอุเมะโบชิอย่างไรให้ฟินและได้ประโยชน์ล่ะคะ ไม่ยากอย่างที่คิดเลยค่ะ เราจะพบอุเมะโบชิในโอนิกิริอุเมะโบชิหรือข้าวปั้นบ๊วยดอง หรือใครจะรับประทานแบบเพิ่มรสชาติให้กับเบนโตะก็ไม่ว่ากันค่ะ ถ้าล้อมวงรับประทานอาหารกันเป็นครอบครัว การรับประทานอุเมะโบชิกับข้าวสวยร้อนๆ ก็ช่วยให้อาหารมื้อนั้นอร่อยและเจริญอาหารยิ่งขึ้นไปอีกค่ะ หรือถ้าคอแห้ง แนะนำให้นำอุเมะโบชิไปชงกับน้ำร้อน ดื่มเป็นชาก็สดชื่นไปอีกแบบค่ะ
สำหรับสาวๆ ที่อยากมีรูปร่างดี อุเมะโบชิช่วยได้ค่ะ เพราะมีงานวิจัยออกมาว่า ในอุเมะโบชิที่นำไปผ่านความร้อนมาแล้วอย่างเช่นการย่างนั้น จะทำให้สารวานิลลิน (Vanillin) ที่มีอยู่ในเนื้อบ๊วยแล้วนั้นเพิ่มปริมาณมากขึ้น ซึ่งสารตัวนี้จะไปทำหน้าที่ลดอัตราการเกาะของไขมันในร่างการของเราได้ค่ะ เพียงแค่รับประทานอุเมะโบชิ วันละ 3-4 เม็ดเท่านั้น เพราะถึงแม้ว่าจะมีประโยชน์อยู่มากแต่ค่าโซเดียมในอุเมะโบชิก็มีมากอยู่พอสมควรค่ะ ต้องรับประทานอย่างระวัง เพียงแค่นี้ก็ไม่ต้องพึ่งพายาลดความอ้วนแล้วละค่ะ
อุเมะโบชิมีอยู่ในทุกพื้นที่ของประเทศญี่ปุ่นค่ะ แต่ที่ขึ้นชื่อลือชาราวกับ OTOP ของบ้านเราแล้วละก็ ต้องไปที่เกาะฮอนชู ในจังหวัดวากายามะค่ะ เหตุที่บอกว่าขึ้นชื่อนั้นก็เพราะในพื้นที่แห่งนี้มีการปลูกต้นอุเมะหรือต้นบ๊วยกันเป็นจำนวนมาก และเมื่อได้ผลมาก งานสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์จึงเกิดขึ้นตามสไตล์ของชาวญี่ปุ่นที่ได้ทำการปรับแต่งสายพันธุ์ต้นบ๊วยขึ้นมาใหม่ ที่ให้เนื้อหวาน กรอบ และยังรังสรรค์สารพันเมนูต่างๆ ของอุเมะหรือบ๊วยขึ้น จากนั้นจึงทำให้เกิดอุเมะโบชิขึ้นที่จังหวัดแห่งนี้ โดยความพิเศษของอุเมะโบชิของที่นี่คือ การนำบ๊วยที่ตากแห้งสนิทแล้ว นำมาแช่ในน้ำส้มสายชูที่หมักจากบ๊วยตามสูตรของที่นี่และใส่ใบชิโซะสีแดงเข้มเพื่อเพิ่มรสเปรี้ยวเข้าไปค่ะ แค่นี่ก็จะได้อุเมะโบชิของดีของวากายามะแล้วค่ะ
อุเมะโบชิหรือบ๊วยดองนี้นับเป็นความใส่ใจเรื่องถนอมอาหารอันมีประโยชน์ในแบบฉบับของชาวญี่ปุ่นให้ได้เก็บไว้รับประทานกันอย่างอร่อยและมีประโยชน์ในเกือบทุกมื้ออาหาร เรียกได้ว่าไม่ผิดหวังแน่ๆ ค่ะถ้าได้ลองชิมอุเมะโบชิสักครั้งหนึ่ง เพราะนอกจากจะช่วยให้ร่างกายสดชื่น ระบบย่อยอาหารดีแล้ว แถมยังหุ่นเพียวไร้ไขมันอีกด้วยนะคะ แต่อย่างไรเสียควรรับประทานแต่พอเหมาะเพื่อให้เกิดประโยชน์แกร่างกายที่พอดีนะคะ
ข้อมูลจาก
https://www.jitco.or.jp/webtomo/th/index.html
https://krua.co/food-story/food-feeds/458/-lsquo-