เมืองต่างจังหวัดที่ใกล้แสนใกล้ และไม่ไกลจากโตเกียว อย่างที่ไซตะมะนั้น มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ให้ได้แวะเยี่ยมชมกันอยู่หลายแห่งเลยค่ะ ที่เป็นที่นิยมและรู้จักกันก็เห็นจะเป็นเมืองคาวะโกเอะ และเมืองโอมิยะ
แต่นอกเหนือจากสองเมืองที่ได้กล่าวมานี้ก็ยังมีเมืองที่ไม่เล็กอย่างเมืองจิจิบุอีกหนึ่งเมืองที่ห้ามพลาดค่ะ เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะไปเที่ยวเมืองจิจิบุกันค่ะ
เมืองจิจิบุ (Chichibu) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของโตเกียว โดยใช้เวลาเดินทางไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงในการทางมาเยือนเมืองจิจิบุ ณ ไซตะมะ เมืองจิจิบุจัดเป็นเมืองที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดของจังหวัดไซตะมะ เมืองนี้มีชื่อเสียงด้านความสวยงามของธรรมชาติทิวทัศน์และภูเขาค่ะ และความสวยงามทางธรรมชาติที่เป็นที่นิยมกันในหมู่นักท่องเที่ยว
อาจเรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์ของเมืองจิจิบุนี้ นั่นก็คือ ทุ่งพิงค์มอส ของสวนฮิสึจิยามะ (Hitsujiyama park) ที่จะผลิดอกอวดโฉมความสวยงามให้นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ท่านๆ ได้ชมกันในช่วงเดือนเมษายน เลยไปจนถึงต้นเดือนพฤษภาคมค่ะ
แต่ถ้าหากนั่งท่องเที่ยวท่านใดอาจจะมาไม่ทันในช่วงที่ดอกพิงค์มอสกำลังบานสะพรั่งแล้วละก็ หากเลยมาในช่วงตอนกลางเดือนพฤษภาคมจนถึงต้นเดือนมิถุนายนละก็ ที่เมืองจิจิบุยังมีดอกไม้สวยๆ อย่างดอกป๊อปปี้ ที่จะออกดอกสวยงามบานเต็มท้องทุ่งให้นักท่องเที่ยวได้ยลโฉมกัน
โดยหากจะชมทุ่มดอกป๊อปปี้ให้สวยงามและได้ภาพถ่ายสวยเก๋ด้วยแล้วละก็ต้องที่ฟาร์มไซโนะคุนิฟุเระไอ (Sainokuni fureai farm) แห่งนี้ค่ะ เพราะฟาร์มแห่งนี้มีพื้นที่กินบริเวณกว้างกว่า 50,000 ตารางเมตร ซึ่งก็แน่นอนค่ะว่าพื้นที่กว้างขวางนั้นปลูกดอกป๊อปปี้ไว้เกือบทั้งหมดเลย และเมื่อถึงช่วงเวลาที่ดอกป๊อปปี้บานพร้อมกัน ทั้งฟาร์มก็จะกลายเป็นสีแดงสดของดอกป๊อปปี้ ซึ่งสีแดงนี้เองที่ตัดกับสีฟ้าครามของท้องฟ้าทำให้ได้ความสวยงามที่ธรรมชาติแต่งแต้มออกมาให้เราได้เก็บเป็นภาพความทรงจำอันน่าประทับใจได้เลยค่ะ
ดื่มด่ำกับธรรมชาติ และเติมออกซิเจนให้เต็มปอดกันไปแล้ว เราไปต่อกันที่สถานที่ศักดิ์กันดีกว่าค่ะ ไปกันที่ศาลเจ้าจิจิบุ (Chichibu shrine) เป็นศาลเจ้าที่ตั้งอยู่ใจกลางของเมืองจิจิบุ และแม้จะอยู่ใจกลางเมืองแต่ศาลเจ้าจิจิบุก็เงียบสงบ ด้วยเพราะพื้นที่โดยรอบเป็นป่าต้นโอ๊กที่ล้อมไว้ประหนึ่งเป็นกำแพงธรรมชาตินั่นเองค่ะ
ศาลเจ้าจิจิบุมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 2,000 กว่าปีมาแล้วค่ะ โดยในศาลเจ้าจิจิบุนี้ยังมีงานแกะสลักที่เป็นสถาปัตยกรรมที่อ่อนช้อย และคล้ายคลึงกับทางศาลเจ้าโทโชกุ (Toshogu shrine) ของเมืองนิกโกะ
โดยบริเวณรอบๆ ของศาลเจ้าจิจิบุมีรูปแกะสลักบนไม้ที่เป็นลวดลายและเรื่องราว เช่น ลายของแม่เสือดาวกับลูกทั้งสามตัว ลายมังกร และลายลูกลิง 3 ตัว
โดยลูกลิง 3 ตัวนี้มีชื่อว่าโอเก็งคิซันซารุ ซึ่งลิงที่ศาลเจ้าจิจิบุนั้นจะปิดหู ปิดตา และปิดปาก เป็นการสื่อความหมายถึง การฟังให้ดี การดูให้ดี และการพูดให้ดี ซึ่งจะไปตรงข้ามกับลิงสามตัวที่ศาลเจ้าโทโชกุ โดยลิงจะเอาปิดอวัยวะทั้งหมดเอาไว้ เป็นการสื่อความหมายถึงการป้องกันสิ่งชั่วร้ายต่างๆ นั่นเองค่ะ
โดยบริเวณใกล้ๆ กับศาลเจ้าจิจิบุนั้นเราจะพบกับ พิพิธภัณฑ์เทศกาลจิจิบุ (Chichibu festival center) โดยเทศกาลนี้จะจัดขึ้นในศาลเจ้าจิจิบุ ช่วงต้นเดือนธันวาคมของทุกปี ซึ่งในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะจัดแสดงเรื่องราวความเป็นมาที่เกี่ยวกับเทศกาลจิจิบุ อันเป็น 1 ใน 3 ของงานเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ของทางญี่ปุ่น เทียบได้กับเทศกาลกิองของเมืองเกียวโตเลยอย่างสูสีเลยละค่ะ
ไหว้พระ ขอพรกันไปแล้ว คราวนี้เราไปหาของอร่อยรับประทานกันค่ะ และเมนูอร่อยของเมืองจิจิบุก็คือ เมนูวะระจิ คัตสึด้ง (Waraji katsudon) เมนูนี้จะใช้เนื้อหมูหรือไม่ก็เนื้อไก่ค่ะ ในการทำให้หมูหรือไก่เป็นชิ้นใหญ่ซึ่งจะชุบด้วยแป้ง จากนั้นก็นำไปทอดให้ได้ลักษณะคล้ายๆ กับรองเท้าฟางค่ะ ซึ่งคำว่า waraji นั่นหมายความว่า รองเท้าฟางของญี่ปุ่น อันที่เป็นชื่อของเมนูนี้นั่นเองค่ะ โดยวะระจิ คัตสึด้งนี่จะเสิร์ฟพร้อมกับผักดอง บุกทาด้วยมิโซะ และน้ำซุปเป็นการเพิ่มความอร่อยให้กับเมนูอาหารมื้อนี้ลงตัวจริงๆค่ะ
และเมื่อเราเสร็จจากของคาวไปแล้ว เราไปหาของหวานรับประทานค่ะ ของหวานที่หวานและดีต่อสุขภาพก็ต้องผลไม้ค่ะ ซึ่งที่เมืองจิจิบุแห่งนี้ด้วยขึ้นชื่อเรื่องความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชิตอยู่แล้วจึงทำให้การทำไร่ ทำฟาร์มเพาะปลูกผลไม้ชนิดต่างๆ ได้ผลดีและเป็นที่รู้จักกัน อาทิ สตรอว์เบอร์รี องุ่น เห็ด พลัม แอปเปิ้ล และที่สำคัญ เราสามารถเข้าไปเก็บผลไม้ต่างๆ เหล่านั้นรับประทานกันสดๆ ในไร่ เรียกได้ว่าเป็นบุฟเฟ่ต์ผลไม้แบบญี่ปุ่นนี่เองค่ะ
ก่อนกลับ อย่าลืมแวะไปเลือกซื้อของขวัญ ของฝาก และของที่ระลึกกันที่ศูนย์จำหน่ายสินค้าพื้นเมืองจิจิบุ (Chichibu local products center) ซึ่งมีจำหน่ายตั้งผักผลไม้สดๆ งานฝีมือ ของที่ระลึก และผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ รับรองว่าเมื่อได้ของติดไม้ติดมือกลับบ้านไปอย่างแน่นอนค่ะ
หากใครที่เที่ยวเมืองกรุงอย่างโตเกียวครบถ้วนแล้ว ลองออกเดินทางห่างออกมาอีกนิด ให้ถึงเมืองไซตะมะ และเดินทางเลยออกไปอีกหน่อย ยังเมืองจิจิบุ รับประกันว่าสวยงามและคุ้มค่ากับการได้มาเยือนแน่นอนค่ะ
ข้อมูลจาก
http://www.tiewyeepoon.com/
https://www.fun-japan.jp/th/articles/9410
https://www.talonjapan.com/chichibu-shrine/
แต่นอกเหนือจากสองเมืองที่ได้กล่าวมานี้ก็ยังมีเมืองที่ไม่เล็กอย่างเมืองจิจิบุอีกหนึ่งเมืองที่ห้ามพลาดค่ะ เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะไปเที่ยวเมืองจิจิบุกันค่ะ
เมืองจิจิบุ (Chichibu) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของโตเกียว โดยใช้เวลาเดินทางไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงในการทางมาเยือนเมืองจิจิบุ ณ ไซตะมะ เมืองจิจิบุจัดเป็นเมืองที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดของจังหวัดไซตะมะ เมืองนี้มีชื่อเสียงด้านความสวยงามของธรรมชาติทิวทัศน์และภูเขาค่ะ และความสวยงามทางธรรมชาติที่เป็นที่นิยมกันในหมู่นักท่องเที่ยว
ทุ่งพิงค์มอส สวนฮิสึจิยามะ (Hitsujiyama park)
อาจเรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์ของเมืองจิจิบุนี้ นั่นก็คือ ทุ่งพิงค์มอส ของสวนฮิสึจิยามะ (Hitsujiyama park) ที่จะผลิดอกอวดโฉมความสวยงามให้นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ท่านๆ ได้ชมกันในช่วงเดือนเมษายน เลยไปจนถึงต้นเดือนพฤษภาคมค่ะ
แต่ถ้าหากนั่งท่องเที่ยวท่านใดอาจจะมาไม่ทันในช่วงที่ดอกพิงค์มอสกำลังบานสะพรั่งแล้วละก็ หากเลยมาในช่วงตอนกลางเดือนพฤษภาคมจนถึงต้นเดือนมิถุนายนละก็ ที่เมืองจิจิบุยังมีดอกไม้สวยๆ อย่างดอกป๊อปปี้ ที่จะออกดอกสวยงามบานเต็มท้องทุ่งให้นักท่องเที่ยวได้ยลโฉมกัน
ดอกป๊อปปี้
โดยหากจะชมทุ่มดอกป๊อปปี้ให้สวยงามและได้ภาพถ่ายสวยเก๋ด้วยแล้วละก็ต้องที่ฟาร์มไซโนะคุนิฟุเระไอ (Sainokuni fureai farm) แห่งนี้ค่ะ เพราะฟาร์มแห่งนี้มีพื้นที่กินบริเวณกว้างกว่า 50,000 ตารางเมตร ซึ่งก็แน่นอนค่ะว่าพื้นที่กว้างขวางนั้นปลูกดอกป๊อปปี้ไว้เกือบทั้งหมดเลย และเมื่อถึงช่วงเวลาที่ดอกป๊อปปี้บานพร้อมกัน ทั้งฟาร์มก็จะกลายเป็นสีแดงสดของดอกป๊อปปี้ ซึ่งสีแดงนี้เองที่ตัดกับสีฟ้าครามของท้องฟ้าทำให้ได้ความสวยงามที่ธรรมชาติแต่งแต้มออกมาให้เราได้เก็บเป็นภาพความทรงจำอันน่าประทับใจได้เลยค่ะ
ศาลเจ้าจิจิบุ (Chichibu shrine)
ดื่มด่ำกับธรรมชาติ และเติมออกซิเจนให้เต็มปอดกันไปแล้ว เราไปต่อกันที่สถานที่ศักดิ์กันดีกว่าค่ะ ไปกันที่ศาลเจ้าจิจิบุ (Chichibu shrine) เป็นศาลเจ้าที่ตั้งอยู่ใจกลางของเมืองจิจิบุ และแม้จะอยู่ใจกลางเมืองแต่ศาลเจ้าจิจิบุก็เงียบสงบ ด้วยเพราะพื้นที่โดยรอบเป็นป่าต้นโอ๊กที่ล้อมไว้ประหนึ่งเป็นกำแพงธรรมชาตินั่นเองค่ะ
ศาลเจ้าจิจิบุมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 2,000 กว่าปีมาแล้วค่ะ โดยในศาลเจ้าจิจิบุนี้ยังมีงานแกะสลักที่เป็นสถาปัตยกรรมที่อ่อนช้อย และคล้ายคลึงกับทางศาลเจ้าโทโชกุ (Toshogu shrine) ของเมืองนิกโกะ
โดยบริเวณรอบๆ ของศาลเจ้าจิจิบุมีรูปแกะสลักบนไม้ที่เป็นลวดลายและเรื่องราว เช่น ลายของแม่เสือดาวกับลูกทั้งสามตัว ลายมังกร และลายลูกลิง 3 ตัว
โดยลูกลิง 3 ตัวนี้มีชื่อว่าโอเก็งคิซันซารุ ซึ่งลิงที่ศาลเจ้าจิจิบุนั้นจะปิดหู ปิดตา และปิดปาก เป็นการสื่อความหมายถึง การฟังให้ดี การดูให้ดี และการพูดให้ดี ซึ่งจะไปตรงข้ามกับลิงสามตัวที่ศาลเจ้าโทโชกุ โดยลิงจะเอาปิดอวัยวะทั้งหมดเอาไว้ เป็นการสื่อความหมายถึงการป้องกันสิ่งชั่วร้ายต่างๆ นั่นเองค่ะ
งานเทศกาลในศาลเจ้าจิจิบุ
โดยบริเวณใกล้ๆ กับศาลเจ้าจิจิบุนั้นเราจะพบกับ พิพิธภัณฑ์เทศกาลจิจิบุ (Chichibu festival center) โดยเทศกาลนี้จะจัดขึ้นในศาลเจ้าจิจิบุ ช่วงต้นเดือนธันวาคมของทุกปี ซึ่งในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะจัดแสดงเรื่องราวความเป็นมาที่เกี่ยวกับเทศกาลจิจิบุ อันเป็น 1 ใน 3 ของงานเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ของทางญี่ปุ่น เทียบได้กับเทศกาลกิองของเมืองเกียวโตเลยอย่างสูสีเลยละค่ะ
วะระจิ คัตสึด้ง (Waraji katsudon)
ไหว้พระ ขอพรกันไปแล้ว คราวนี้เราไปหาของอร่อยรับประทานกันค่ะ และเมนูอร่อยของเมืองจิจิบุก็คือ เมนูวะระจิ คัตสึด้ง (Waraji katsudon) เมนูนี้จะใช้เนื้อหมูหรือไม่ก็เนื้อไก่ค่ะ ในการทำให้หมูหรือไก่เป็นชิ้นใหญ่ซึ่งจะชุบด้วยแป้ง จากนั้นก็นำไปทอดให้ได้ลักษณะคล้ายๆ กับรองเท้าฟางค่ะ ซึ่งคำว่า waraji นั่นหมายความว่า รองเท้าฟางของญี่ปุ่น อันที่เป็นชื่อของเมนูนี้นั่นเองค่ะ โดยวะระจิ คัตสึด้งนี่จะเสิร์ฟพร้อมกับผักดอง บุกทาด้วยมิโซะ และน้ำซุปเป็นการเพิ่มความอร่อยให้กับเมนูอาหารมื้อนี้ลงตัวจริงๆค่ะ
และเมื่อเราเสร็จจากของคาวไปแล้ว เราไปหาของหวานรับประทานค่ะ ของหวานที่หวานและดีต่อสุขภาพก็ต้องผลไม้ค่ะ ซึ่งที่เมืองจิจิบุแห่งนี้ด้วยขึ้นชื่อเรื่องความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชิตอยู่แล้วจึงทำให้การทำไร่ ทำฟาร์มเพาะปลูกผลไม้ชนิดต่างๆ ได้ผลดีและเป็นที่รู้จักกัน อาทิ สตรอว์เบอร์รี องุ่น เห็ด พลัม แอปเปิ้ล และที่สำคัญ เราสามารถเข้าไปเก็บผลไม้ต่างๆ เหล่านั้นรับประทานกันสดๆ ในไร่ เรียกได้ว่าเป็นบุฟเฟ่ต์ผลไม้แบบญี่ปุ่นนี่เองค่ะ
ก่อนกลับ อย่าลืมแวะไปเลือกซื้อของขวัญ ของฝาก และของที่ระลึกกันที่ศูนย์จำหน่ายสินค้าพื้นเมืองจิจิบุ (Chichibu local products center) ซึ่งมีจำหน่ายตั้งผักผลไม้สดๆ งานฝีมือ ของที่ระลึก และผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ รับรองว่าเมื่อได้ของติดไม้ติดมือกลับบ้านไปอย่างแน่นอนค่ะ
หากใครที่เที่ยวเมืองกรุงอย่างโตเกียวครบถ้วนแล้ว ลองออกเดินทางห่างออกมาอีกนิด ให้ถึงเมืองไซตะมะ และเดินทางเลยออกไปอีกหน่อย ยังเมืองจิจิบุ รับประกันว่าสวยงามและคุ้มค่ากับการได้มาเยือนแน่นอนค่ะ
ข้อมูลจาก
http://www.tiewyeepoon.com/
https://www.fun-japan.jp/th/articles/9410
https://www.talonjapan.com/chichibu-shrine/